วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่ ๑๗ ปางนู ที่ บ้านนา

บทที่ ๑๗ ปางนู ที่บ้านนา

        ขณะนี้. วันเสาร์ ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลายปีแล้วครับ เช้าตรู่อย่างนี้ อากาศค่อนข้างเย็น. ช่วงนี้ประเทศของเรากำลังจะจัดตั้งศาลใหม่ขึ้นมาศาลหนึ่ง ชื่อว่า " ศาลอาญาคดีทุจริต " เพื่อทำหน้าที่ตัดสินเฉพาะคดีที่มีการทุจริตเท่านั้น โดยไม่รับพิจารณาคดีอื่น. และจะใช้ระบบการพิจารณาใหม่ คือ "ระบบไต่สวน" หมายความว่า ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ถามพยานเอง ทนายความจะถามไม่ได้ อันเป็นการมอบหน้าที่ควบคุมการพิจารณาอย่างเด็ดขาดไว้ที่ผู้พิพากษา

        ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้ ยก "แผนกคดีทุจริตในศาลอาญา" ขึ้นเป็น "ศาลอาญาคดีทุจริต". แผนกคดีทุจริตในศาลอาญานี้ เป็นแผนกที่เพิ่งตั้งขึ้นเมื่อ ๔ เดือนที่แล้วนี่เอง. และขณะนี้ ผมเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกนี้อยู่ครับ. ผู้พิพากษาผู้ใหญ่สองสามท่านพูดเล่นๆกับผมว่า นิกรเลื่อนตำแหน่งเร็วจัง. แต่ผมกลับรู้สึกไปอีกทางว่า ผมไม่มีความสามารถเลย รักษาแผนกเอาไว้ไม่ได้ แค่ไม่นานก็ถูกยุบเสียแล้ว (เพื่อยกแผนกขึ้นเป็นศาลใหม่). ผมก็คงต้องมีหน้าที่หาสถานที่ตั้งศาลใหม่นี้ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถวสามเสน ในพื้นที่เขตดุสิต. ตรงนี้ใกล้กับปากคลองสามเสน ท่านใดเคยเป็นนักเรียนรุ่นเก่าเหมือนผม เคยอ่านหนังสือแบบเรียนเรื่อง "นายเถื่อนเป็นนายเมือง" จำได้มั๊ยครับ...นายเถื่อนมาหาญาติที่บางกอก ก็นั่งเรือมาเข้าคลองสามเสนนี่แหละ

       ตลอดระยะเวลาที่ผมเป็นผู้พิพากษามาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ขณะนั้นยังเป็นหนุ่มน้อยอายุสี่ยิบเศษ ไม่ใช่หนุ่มเหลือน้อยเหมือนตอนนี้. และได้มาทำงานด้านการตัดสินคดีทุจริต ซึ่งที่ผ่านมาองค์คณะผู้พิพากษาในแผนกคดีทุจริต ก็ได้ตัดสินคดีไปหลายเรื่องแล้วที่ทุกคนต้องรู้จักชื่อ คือ คดีทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยได้พิพากษาจำคุกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สามคน คนละ ๒๐ ปี.นั่นคดีหนึ่ง หรืออีกคดีหนึ่งก็คือ คดีที่คุณหยิงท่านหนึ่งถูกฟ้องว่าจัดการสัมมนาเท็จเพียงเพื่อนำกฐินไปถวายวัด. ระยะเวลาของชีวิตที่ผ่านมา ผมคิดถึงชีวิตในวัยเด็กที่บ้านเชิงแสบ้านแม่บ้านนาอยู่เสมอ.

         ตอนเด็กๆ ผมอยู่บ้านนอกที่ใครๆ อาจจะคิดว่าห่างไกลความเจริญ ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ตะเกียงน้ำมันก๊าดให้แสงสว่างแค่วอมแวมยามค่ำคืน. ไม่มีถนนหนทาง. จะไปมาหาสู่กัน ต้องเดินทาง "ทางรง" และตามหัวนาคันนา .แต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึง ดูช่างเปี่ยมความสุขเสียเหลือเกิน... หากไม่มีความสุขก็คงจะไม่อาจเขียนได้มาจนถึงบทที่ ๑๗ แล้ว...จริงมั๊ยครับ.?...คงไม่มีใครทนเขียนเรื่องทุกข์ของตัวเองได้ยาวขนาดนี้แน่

        และ  ความสุขอีกอย่างหนึ่ง  คือความสุข เมื่อคิดถึงเรื่อง " ปางนู "

        หัวค่ำของวันหนึ่ง. ผมและเพื่อนๆ หลายคนชวนกันไปอาบน้ำที่ "สระตีน" ทุ่งด้านเหนือใกล้หมู่บ้าน ตักน้ำอาบกันที่ขอบสระเสร็จแล้ว เดินตัวเปียกกลับบ้านกัน. ครั้นถึงบ้าน และขณะที่ผมกำลังผลัดผ้าอยู่นั้น มีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ใช่กลุ่มที่ไปอาบน้ำด้วยกัน น่าจะไปอาบตอนหลัง ได้ตามมาที่บ้านของผม. ในมือนั้นเค้าถือ "ปางนู" มาด้วย เพื่อนคนนี้พูดถามผมขณะที่ยืนอยู่ที่พื้นดินข้างนอกชานบ้านว่า " สูลืมปางนู ไว้ที่สระตีน ตอนอาบน้ำ เอามาให้ " ปางนูที่เพื่อนคนนี้พูดถึงนั้น.ผมดูแล้ว เป็นปางนูทำด้วยปลายเขาวัว.  สวยเหลือเกิน. ผมตอบไปว่า "ไม่ใช่ของเรา "และ ผมไม่รับปางนูนั้นไว้..... ผ่านมา ๔๐ ปีแล้วไม่รู้ว่าหาตัวเจ้าของได้แล้วยัง

        เมื่อเพื่อนคนนั้นกลับไปแล้ว. พ่อเรียกผมไปหา พ่อนั่งอยู่ที่ในบ้าน พ่อพูดกับผมว่า "พ่อดีใจ ที่ลูกเป็นคนก้งโท้" ..."ก้งโท้" เป็นภาษาจีนของคนเชิงแส แปลว่า "ซื่อสัตย์"

         ผมภูมิใจในตัวผมเองตลอดมาว่า.ผมเป็นคนก้งโท้จากเชิงแส และสิ่งนี้เป็นผลอย่างสำคัญให้ผมทำงานอย่างซื่อสัตย์.โดยผมคิดถึงเรื่องปางนูในวัยเด็กอยู่เสมอ. ทุกวันที่ไปส่งลูกที่โรงเรียน ระหว่างทางผมสอนลูกโดยยกเรื่องนี้ขึ้นกล่าวหลายต่อหลายครั้ง.  การที่เด็กชาวนาบ้านนอกอย่างผมมีโอกาสทำงานสำคัญของประเทศ. ผมว่าส่วนสำคัญก็มาจากความซื่อสัตย์. ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นเครื่องสอนใจเด็กไทยทุกคน ว่า ผู้ที่ซื่อสัตย์นั้น แม้จะมีพื้นฐานและกำเนิดจากบ้านนอก แต่เราก็มีเกียรติอยู่ในทุกสถานที่ ทุกหมู่ผู้คน และที่สำคัญมีเกียรติในตัวเอง ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้

         ชีวิตของผมมีแรงบันดาลใจจากเรื่องปางนูอยู่หลายครั้งนะครับ.อีกครั้งหนึ่ง เมื่อคราวที่ผมกราบลาพระครูปิยะสิกขการ พระมหาพร้อม ปิยะธัมโม เจ้าอาวาสวัดหัวป้อมใน พระที่เลี้ยงดูผมมา. เพื่อเดินทางไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ่อท่านให้ผมไปหยิบหลวงพ่อทวดเป็นมงคลติดตัว. ผมเข้าไปในห้องนอนของพ่อท่าน. เห็นพระเครื่องหลวงพ่อทวดอยู่ในพานหลายสิบองค์. แต่ผมหยิบติดตัวมาเพียงองค์เดียว. ผมเล่าเรื่องนี้ให้ลูกฟังหลายครั้งเช่นกัน ผมสอนว่า ความซื่อสัตย์นั้น ต้องทำแม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น. เพราะตัวเราย่อมรู้ย่อมเห็นด้วยตัวเราเอง. หลวงพ่อทวดองค์นี้ผู้พิพากษารุ่นพี่ท่านหนึ่งที่ดูพระเป็น ท่านดูแล้วก็พูดเล่นๆว่า " น่าจะหยิบมาเผื่อสักองค์ "

        ผมยกเรื่องนี้มาเล่า. ไม่ได้ต้องการอวดตัว ยกตัว. เพราะในอนาคตผมอาจจะทุจริตก็ได้. หากผมเกิดความละโมบ ไม่มีความสมถะเหมือนคำสอนของบรรพตุลาการ อีกทั้งยังปล่อยความต้องการของตนเป็นไปในทางที่ต่ำ. ไม่รักษาความดี ไม่รักษาความดีให้สมกับที่เป็นคนที่มีศาสนา. แต่ที่เล่ามาเพียงต้องการสื่อให้ทราบว่า.ชีวิตของเด็กบ้านเชิงแสนั้น เป็นชีวิตที่มีความสุข อุดมไปด้วยตัวอย่างและสิ่งดีๆ เรื่องปางนูนี้ คนที่เป็นเด็กดีกว่าผม ก็คือ เพื่อนของผมที่ถือปางนูมาถามผม นั่นเอง.

      " ศาลอาญาคดีทุจริต "

       หากใครถามผมว่า.ผมซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกคดีทุจริตอยู่ขณะนี้ ตั้งความหวังอะไรบ้างกับศาลใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศของเรา. ผมอยากจะบอกว่า...หากอีก ๑๐ ปีข้างหน้า สามารถยกเลิกศาลนี้เสียได้ ผมจะดีใจมาก. เพราะอะไร?

       เพราะ...ต่อไปประเทศของเรามีแต่คนสุจริต จะไม่มีใครต้องมาขึ้นศาลนี้อีกแล้ว. แล้วจะมีศาลอาญาคดีทุจริตไปทำไม. มีไปก็ไม่มีประโยชน์...ซึ่งความหวังของผมจะเกิดขึ้นและเป็นจริงได้หรือเปล่า...หรือจะต้องให้มีเด็กที่เชิงแสลืม "ปางนู" ไว้ที่ขอบสระตีนอีกสักหลายๆ ครั้ง

       อันที่จริงแล้ว. หากคนไทยทุกคน แค่เพียงรักษาศีลห้า ให้ได้ ตามที่รับศีลมา ประเทศเราก็ไม่ต้องมีศาลมายมายเลย. เช่น รักษาศีลข้อ ๑ ได้ ก็จะไม่ฆ่ากัน ความผิดฐานฆ่าคนตายก็ไม่เกิด , รักษาศีลข้อ ๒ ได้ ความผิดฐานลักทรัพย์ ก็ไม่เกิด. ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ก็ไม่มี ข้อหาคอร์รัปชั่น ก็ไม่มีศาลอาญาคดีทุจริตก็ไม่รู้จะตั้งไปเพื่ออะไร. เห็นมั๊ยครับ. แค่รักษาศีลข้อ ๒ เพียงข้อเดียว มีอิทธิพลถึงกับทำให้ศาลอยู่ไม่ได้.

       แล้วหากรักษาศีลข้อ ๓ ได้อีก. จะเกิดผลอะไร....ศาลครอบครัวครับ...ศาลครอบครัวหมดสิทธิตัดสินเรื่องหย่าเพราะเหตุเป็นชู้กัน...นี่คืออิทธิพลหรือผลของการรักษาศีล.

        แต่.  ความจริง อาจจะห่างไกลจากที่ผมกล่าว. ทุกวันนี้ ทุกคดีเพิ่มขึ้นมาก...โดยเฉพาะคดีทุจริต. ผมแปลกใจอยู่ตลอดมาว่า..พี่น้องชาวไทยเราทำบุญกันมากในแต่ละปี.ทั้งกฐิน ผ้าป่า งานวัด งานโยม อีกทั้งยามน้ำท่วม ประสบภัย ตลอดไปจนถึงชาวต่างชาติได้รับความเดือดร้อน แผ่นดินไหว เราคนไทยก็ยังช่วยเหลือนับร้อยๆล้าน... แต่ทำไมในบ้านเมืองเรากลับมีเรื่องการทุจริตมาก จนถึงกับต้องตั้งศาลขึ้นมากปราบการคอร์รัปชั่น.และผู้ที่ทุจริตนั้น ก็มีทั้งนักการเมืองที่ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว, มีทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ , มีทั้งข้าราชการการเมือง และข้าราชการท้องถิ่น, รวมตลอดถึงบริษัทห้างร้านเอกชนทั้งใหญ่โต และเล็กๆ ห้องแถว จนถึง ริมฟุตบาท. แทบจะกล่าวได้ว่า.ทั้งคนจนคนรวย คนใหญ่ คนเล็ก "ได้จังหวะได้ช่อง เป็นต้องโกง" และโกงกัน ในหลายรูป เช่น บุกรุกที่ตั้งแต่ภูเขา แม่น้ำ ริมคลอง ฟุตบาท ...นี่คือโกงพื้นที่,ส่วนโกงเงิน ก็คือ โกงภาษี และคอร์รัปชั่นงบประมาณ  ทำโครงการเป็นหลักล้าน ได้งานมานิดเดียว........ เมื่อผมบวชที่วัดเอก โยมชาวเชิงแสท่านหนึ่ง บ่นให้ผมฟังว่า พักหลังๆ เริ่มมีการโกงกันไปทั่ว

           " น้องหลวงรู้มั๊ย ถนนลาดลูกรังบางที่ ทำบางเหลือเกินลูกรังน้อยมาก วัวจามทีเดียว ลูกรังกระจายหมดแล้ว"

          เห็นภาพลูกรังฟุ้ง. จนแทบจะเผลอเอามือปิดจมูก./