วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๙ กำแพงบุญ จารึกสังฆคุณสองแผ่นดิน


บทที่ ๙ "กำแพงบุญ จารึกสังฆคุณสองแผ่นดิน"

     ...เดือนนี้ พฤษภาคม ๒๕๖๐ blogger แจ้งจำนวนผู้อ่านบทที่ ๙ "กำแพงบุญฯ " ว่ามีการอ่านแต่ละวันประมาณ ๑๐ ครั้ง.ผมขอบคุณทุกท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของวัดกลาง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ไม่น่าเชื่อว่าชุมชนเล็กๆ อย่างบ้านเชิงแสจะรักษาไว้ได้อย่างรู้คุณค่า ในขณะที่ที่ในเมืองหลายที่บุกรุกครอบครองวัดเก่าไปเป็นจำนวนมาก.ความดีของชาวเชิงแสนี้ ทำให้ผมคิดถึงคำของพ่อ ที่พูดอย่างภูมิใจว่า "คนเชิงแสมีดี ไม่อย่างนั้นคงรักษาวัดทั้งสามวัดไว้ไม่ได้"...ผมยังจำคำพ่อได้จนถึงทุกวันนี้./.../

    ๐ เดิมที่บ้านเชิงแสมีวัดทั้งหมด ๕ วัด. แต่เมื่อ "วัดทเยา" และบ้านเชิงแสที่อยู่กลางทุ่งนาต้องสลายลง และเมื่อ "วัดรักษ์" ที่ตั้งอยู่ใกล้ปากสระโพธิ์ หมดสภาพไป.ทุกวันนี้ที่เชิงแสจึงมีวัดเพียงสามวัด คือ "วัดเชิงแสะพระครูเอก" , "วัดกลาง" , และ "วัดเชิงแสะหัวนอน" แม้วัดทั้งสามนี้มีเขตวัดที่ชัดเจนก็ตาม แต่ก็มีเพียงวัดกลางเท่านั้นที่มีกำแพงวัดล้อมรอบทุกด้าน กำแพงวัดกลางเกิดจากแรงศรัทธาของชาวพุทธ ๒ ประเทศ คือชาวพุทธที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และชาวพุทธที่อาศัยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ภายใต้สังฆคุณสังฆบารมีของพระเดชพระคุณชาวเชิงแสที่ชื่อ "พ่อท่านรื่น โชติรโส" หรือสมณทินนามหนึ่งว่า "พระครูวิบูลย์ปรีชาญาณ" ท่านเจ้าอาวาสวัดพระธาตุบาลิง(ป่าลิไลยก์)เจ้าคณะอำเภอบาลิง(Baling) รัฐไทรบุรี(เคดะห์,Kadah) ประเทศมาเลเซีย...+++..."พ่อท่านรื่น" ท่านเกิดเมื่อประมาณปี ๒๔๔๕ ที่บ้านเชิงแสซึ่งเรียกชุมชนบ้านเกิดของท่านบริเวณนั้นว่า "บ้านปากสระโพธิ์" หมู่ที่ ๓ ตำบลเชิงแส อำเภอระโนด โยมบิดาและโยมมารดาของท่านเป็นคนเชื้อสายจีน มีที่นาอยู่ทางด้านทิศใต้ของสระโพธิ์ พ่อท่านท่านบวชเรียนแล้วได้พำนักอยู่ที่วัดกลางหลายพรรษาท่านจึงเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านเขียวเจ้าอาวาสวัดกลางผู้เก่งกล้าด้านโอสถหยูกยาและวิชาเข้าญาณนั่นเอง พ่อท่านรื่นใฝ่ในการศึกษาหาความรู้เป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช จนสำเร็จวิชาด้านศาสนาและบาลีถึงระดับที่เป็นอาจารย์สั่งสอนพระเณรได้ เมื่อท่านเจ้าคุณปัญญานันทภิกขุไปเรียนหนังสือที่นครศรีธรรมราชในปี ๒๔๗๔ ท่านเจ้าคุณได้เป็นศิษย์ของพ่อท่านรื่นด้วยได้รับการถ่ายทอดความรู้จากพ่อท่านรื่นที่สำนักเรียนวัดสระเรียงเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นในปลายปี ๒๔๗๕ ถึงเดือนมกราคม ๒๔๗๖ ท่านเจ้าคุณปัญญาและแปะหลวงขิ้มของผมได้ร่วมคณะของพระโลกนาถเดินทางเดินเท้าไปยังประเทศอินเดีย ดังที่ผมได้เล่าไว้แล้วในบทที่ ๑ ต่อมาเมื่อประมาณปี ๒๔๗๗ พ่อท่านรื่นเดินทางจาริกไปพำนักเผยแพร่พระธรรมที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยความรู้กับความดีและสมณปฏิปทาวาจานุ่มนวลท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนในมาเลเซียทั้งเชื้อสายไทยและเชื้อสายจีน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้เป็นพระสังฆาธิการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธาตุบาลิง และได้เป็นเจ้าคณะอำเภอบาลิง ระหว่างนั้นพ่อท่านรื่นท่านไม่ลืมภูมิสถานประเทศบ้านเก่าที่เป็นถิ่นกำเนิดชาติภูมิ ท่านจึงได้พัฒนาวัดในประเทศไทยอย่างน้อย ๓ วัด คือ ได้สร้างวิหาร เสนาสนะ และก่อสร้างกำแพงรอบวัดกลางที่เชิงแสบ้านเกิดของท่าน สร้างศาลาการเปรียญให้วัดราษฎร์เจริญ นครศรีธรรมราช และในปี ๒๔๘๔ ท่านได้เป็นกำลังสำคัญเป็นประธานในการสร้างอุโบสถวัดมาลาประชาสรรค์ ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา...+++๐.พ่อท่านรื่นมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘..++๐..ในงานศพของท่านมีพระสงฆ์กับพุทธสาสนิกชาวเชิงแส ชาวสงขลา ชาวนครศรีธรรมราช และชาวยะลาไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก ท่านเจ้าคุณปัญญานันทนภิกขุก็ไปร่วมงานด้วย และได้แสดงปาฐกถาธรรมถวายพ่อท่านซึ่งเป็นพระอาจารย์ พระราชปริยัติโกศล(สเถียร ฉันทโก)เจ้าอาวาสวัดใหม่พิเรนทร์ กรุงเทพฯ ให้ความเมตตาเล่าให้ผมฟังว่า..."พ่อท่านสิ้นตอนเราจำวัดอยู่ที่สงขลา เราได้ไปงานศพของพ่อท่าน หลวงพ่อปัญญาได้แสดงปาฐกถาธรรมในงานนี้ พ่อท่านรื่นเป็นที่เคารพของคนมาเลย์มากจริงๆ ท่านพูดเพราะ และนอกเหนือจากวิชาการด้านธรรมะแล้ว ท่านมีวิชาอีกวิชาหนึ่ง คือ ทำด้ายผูกข้อมือ"

(พระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดรพระธาตุบาลิง มาเลเซีย)

     บาลิง(Baling)เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐไทรบุรีหรือเคดะห์(Kadah)ประเทศมาเลเซีย ห่างจากอำเภอเบตง ๑๔ กิโลเมตร คือจากด่านชายแดนของไทยที่เบตงไป ๗ กิโลเมตร จะถึงโกระ ต่อไปอีกระยะทางเท่ากันก็ถึงบาลิง ในสมัยอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พื้นที่แถบนี้อยู่ภายใต้การปกครองของไทย ก่อนท่ี่พ่อท่านรื่นจะไปพำนักอยู่ที่วัดพระธาตุบาลิงนั้น ที่บาลิงมีคนมาเลเซียเชื้อสายสยามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ในปัจจุบันที่ในเขตของรัฐไทรบุรีก็มีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอยู่ถึงประมาณ ๒๖,๐๐๐ คน มีวัด ๓๔ วัด และสำนักสงฆ์ ๘ แห่ง อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่พ่อท่านไปอยู่ที่บาลิง สภาพการทางการเมืองในมาเลเซียเกิดความไม่สงบอยู่หลายช่วง เช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองมาเลเซียและได้สู้รบกับอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์มลายาภายใต้การนำของ "จีน เปง"(อึ้ง บุ้นฮั้ว, Ong Boon Hua)หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "เฉิน ผิง" ที่เคยช่วยเหลืออังกฤษ ได้ตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้น ๑๒,๐๐๐ คน (๑๒ กรม)สู้รบกับอังกฤษผู้ปกครอง จนกระทั่งถึงปี ๒๔๙๘ ในวันที่ ๒๘ และ ๒๙ ธันวาคม จึงได้มีการเจรจาทางการเมืองขึ้นที่บาลิง เรียกว่า "Baling Talks 1955" อันเป็นการเจรจาระหว่าง จีนเปง ฝ่ายหนึ่ง และ ตวนกู อับดุล เราะมาน (Tun Abdul Rahman) มุขมนตรีของมาเลเซีย อีกฝ่ายหนึ่ง และมี David Marshall เข้าร่วมด้วย แต่การเจรจาล้มเหลว เมื่อการเจรจาที่บาลิงล้มเหลว เนื่องจากข้อเสนอของจีนเปงที่จะให้พรรคคอมมิวนิสต์มลายาเป็นพรรคที่ถูกต้องตามกฎหมายได้รับการปฏิเสธ พรรคคอมมิวนิสต์มลายาที่มี จีน เปง เป็นเลขาธิการก็ถูกทางการอังกฤษและมลายาปราบปรามหนักขึ้นจนพ่ายแพ้แทบทุกพื้นที่ กองกำลังที่เหลืออยู่เพียง ๓ กรม ต้องหนีมารวมอยู่ตามแนวชายแดนไทย กองกำลังนี้เราเรียกกันว่า "โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา" ชื่อย่อว่า "จ ค ม." ภาษาอังกฤษว่า "CPM" จีนเปงและกองกำลังกลับเข้าป่าและต่อสู้กับทางการต่อ แต่ตัวของจีนเปงนั้นได้ไปอยู่ที่กวางโจวของจีน ได้จัดรายการทางวิทยุชื่อ "เสียงแห่งการปฏิวัติมลายา" ผมขอสรุปว่า ต่อมาวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ จีนเปงและทางการมาเลเซียตกลงหยุดการสู้รบกัน โดยทำสัญญาที่โรงแรมลีการ์เดน หาดใหญ่ สมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาจำนวนมากได้รับอนุญาตจากไทยให้มาอยู่อาศัยในเขตประเทศไทย ส่วนจีนเปงนั้นมาเลเซียไม่อนุญาตให้กลับประเทศมาเลเซียบ้านเกิด จึงต้องมาอยู่ที่ประเทศไทย และเสียชีวิตในปีนี้เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ ที่กรุงเทพฯ ศพบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจที่วัดธาตุทอง กรุงเทพฯ...+++...กลับมาที่เรื่องของพ่อท่านรื่นต่อนะครับ

(หอนาฬิกาอิสระภาพประจำอำเภอบาลิง)


(ย่านธุรกิจกลางเมืองบาลิง)

     ในการเดินทางไปยังบาลิงนั้น ผมเข้าใจว่าพ่อท่านเดินทางโดยทางรถไฟจากอำเภอหาดใหญ่ไปยังอลอร์ สตาร์ เมืองหลวงรัฐไทรบุรี ก่อน จากนั้นจึงเดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งหน้าสู่อำเภอบาลิง ที่ผมเข้าใจเช่นนี้ก็เนื่องจากในชั้นที่พระราชปริยัติโกศลไปงานศพของพ่อท่าน ท่านเจ้าคุณและชาวเชิงแสเดินทางโดยใช้เส้นทางเดียวกันดังที่ผมกล่าวถึง ยุคแรกที่พ่อท่านรื่นไปพำนักที่บาลิงนั้น อำเภอนี้ยังไม่เจริญนัก ยังไม่มีทั้งไฟฟ้าและประปาใช้ อีกทั้งเป็นพื้นที่ห่างไกล และหลังจากนั้นก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมาหลังสงครามก็อยู่ในการประกาศภาวะอัยการศึกของทางการอังกฤษ เพราะยังมีการสู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์มลายากับทางการของอังกฤษและมาเลเซีย แต่สิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พ่อท่านรื่นซึ่งได้รับการยกย่องนับถือมาก สามารถสร้างวัดพระธาตุบาลิงขึ้นรุ่งเรืองมี ๓ ประการ คือ ๑.ที่อำเภอบาลิงมีคนไทยและคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ต่างนับถือพุทธศาสนา และโดยเฉพาะคนที่มีเชื้อสายไทยนั้น แม้จะอยู่ในมาเลเซียก็ยังพูดภาษาไทยและรักษาขนบประเพณีเดิมไว้ เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง ๒.อำเภอบาลิงตั้งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอเบตงของไทย การไปมาหาสู่ติดต่อกันไม่ลำบากยากนัก ทำให้พ่อท่านเดินทางมาเผยแพร่ธรรมะในเขตไทยได้ จึงมีผู้คนสองทั้งประเทศให้ความศรัทธาท่าน และประการที่ ๓. ซึ่งสำคัญที่สุดก็คือ พ่อท่านรื่นเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติดีงาม มีความรู้ดี มีเมตตากรุณา อีกทั้งท่านไม่ละทิ้งการพัฒนาวัดเดิมในประเทศไทยที่เคยพำนัก ความดีงามเหล่านี้เป็นปัจจัยหนุนส่งให้พ่อท่านได้รับความศรัทธาเป็นอย่างมาก......++++...ที่กล่าวนี้สังเกตได้จากการที่มีผู้ศรัทธาสร้างพระรูปบูชา เหรียญบูชา และเหรียญเสมา ในชื่อ "พระวิบูลย์ปรีชาญาณ(หลวงพ่อรื่น)" ไว้เป็นที่บูชาเคารพ ซึ่งในปัจจุบันทั้งพระบูชาและเหรียญทั้งสองแบบเป็นสิ่งที่หายากมาก โดยเฉพาะชาวพุทธมาเลเซียเชื้อสายไทยนั้นผู้ใดมีไว้แล้ว ก็จะไม่ยอมปล่อยให้ใครเช่าต่อเลย...เกี่ยวกับของบูชานี้ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรกล่าวไว้ด้วย นั่นคือ "ผ้ายันต์พ่อท่านรื่น" ผ้ายันต์นี้พ่อท่านจัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ เพื่อมอบให้แก่ผู้ศรัทธาร่วมสร้างศาลาการเปรียญของวัดราษฎร์เจริญ นครศรีธรรมราช โดยพ่อท่านเขียนคาถาอันเป็นวิชาอาคมของชาวเชิงแสบ้านเกิดท่านกำกับไว้ เช่น คาถาอาคมของชาวเชิงแสที่ว่า "พุทธัง คลาดแคล้ว พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ปิติปิโส ภควา . ธัมมัง คลาดแคล้ว พระธรรมเกิดแล้ว ปิติปิโส ภควา .สังฆัง คลาดแคล้ว พระสงฆ์เกิดแล้ว ปิติปิโส ภควา..."

(รูปเหมือนพระครูวิบูลย์ปรีชาญาณเจ้าอาวาสวัดพระธาตุบาลิง)


(เหรียญบูชารูปพระครูวิบูลย์ปรีชาญาณ)


(ผ้ายันต์โบราณของพระครูวิบูลย์ปรชาญาณจัดพิมพ์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒)

     ขอกล่าวเจาะจงเฉพาะที่วัดพระธาตุบาลิงซึ่งพ่อท่านรื่นเป็นเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะอำเภอไว้ ณ ที่นี้ พอสังเขป ว่า วัดพระธาตุบาลิงตั้งอยู่ริมน้ำในบริเวณตัวอำเภอบาลิง ชั้นแรกที่พ่อท่านไปพำนักนั้นอุโบสถของวัดยังเป็นอุโบสถไม้ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่งดงามด้วยพุทธลักษณะกึ่งทรงเครื่อง ที่แปลกมากคือองค์พระพุทธรูปนั้นเป็นสีเขียวมรกต ที่วัดนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวางพอสมควร แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เมื่อพ่อท่านสิ้นบุญแล้ว ท่านเจ้าอาวาสรูปต่อมาเป็นพระที่ตาบอด แต่ท่านมีความสามารถมาก สามารถท่องปาติโมกข์ได้ และมีความรู้แตกฉานในข้อธรรมของพระศาสนา ปัจจุบันนี้มีชาวไทยและชาวจีนมาเลเซียเป็นจำนวนมากมีความศรัทธาวัดพระธาตุบาลิง สังเกตได้จากมีงานเขียนภาษาอังกฤษหลายชิ้นกล่าวถึงวัดนี้อย่างชื่นชม

     เมื่อพระครูวิบูลย์ปรีชาญาณ หรือ พ่อท่านรื่น ได้รับความศรัทธาเคารพจากพุทธสาสนิกมากขึ้นแล้ว ท่านได้ระลึกถึงบ้านเชิงแสบ้านเกิดของท่าน จึงได้รวบรวมปัจจัยทุนรอนมาพัฒนาวัดกลางของบ้านเชิงแส ท่านได้บูรณะวิหารและก่อสร้างที่พักสงฆ์ขึ้นหลายหลัง แต่ที่ตรึงอยู่ในความประทับใจของผม ก็คือ กำแพงทุกด้านรอบวัดกลาง กำแพงนี้เดิมเป็นกำแพงสูงเกินหัวเด็กอย่างผม ทุกช่วงของกำแพงมีปูนปั้นเป็นรูปดอกบัว และผนังกำแพงด้านบนเขียนข้อความจารึกชื่อและที่อยู่ของผู้ออกทุนกับจำนวนปัจจัยก่อสร้างไว้ทุกช่วง ผมชอบอ่านมาก เดินอ่่านไปรอบๆ แต่ที่สะดุดใจและไม่เข้าใจคือเมื่ออ่านถึงจารึกข้อความที่เขียนว่า "บาลิง ไทรบุรี" ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตั้งอยู่ที่ไหน และก็แปลกที่ผมไม่เคยถามใครเลย ไม่เคยแม้แต่จะถามพ่อแม่ เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจจนโตเป็นผู้ใหญ่ จนได้มีโอกาสค้นคว้าประวัติของพ่อท่านรื่น และอำเภอบาลิง รัฐเคดะห์ (ไทรบุรี) จึงนำมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันขณะนี้...เกี่ยวกับวัดกลางบ้านเชิงแสนี้ยายของผมเล่าให้ผมฟังว่า ผู้สร้างวัดกลางเป็นผู้หญิงชื่อนางทองจัน เมื่อสร้างวัดเสร็จก็สร้างพระพุทธรูปเป็นแถวไว้ที่วัด ที่เศียรพระองค์หนึ่งนั้น นางได้บรรจุทองคำไว้ ต่อมามีโจรขโมยทองโดยทุบเศียรพระเสียทุกองค์ ยายเล่าเป็นคำกลอนว่า "วัดกลาง วัดนางทองจัน ทองสามแม่ขัน อยู่หัวเรียงราย"...เมื่อผมค้นคว้าพบแผนที่วัดกลางที่เขียนไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ผมดีใจมากจึงได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร ขอถ่ายภาพตัวผมกับแผนที่วัดกลางไว้เป็นที่ระลึกด้วยความดีใจและความสุขที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต และด้วยความคิดถึงยาย เพราะยายของผมตั้งศพทำบุญและฌาปนกิจที่วัดนี้ ขณะนั้นมีพ่อท่านส้มเป็นเจ้าอาวาส นัยว่าพ่อท่านส้มนั้นเป็นญาติกับยาย เป็นญาติกันทางสายไหนผมไม่ได้ถามใครไว้เลย น่าเสียดายมากที่ไม่มีข้อมูลมากไปกว่านี้

     ผมได้เกริ่นไว้บ้างแล้วถึง "พ่อท่านเขียว" เจ้าอาวาสวัดกลาง เชิงแส จึงขอเล่าถึงพ่อท่านเขียวไว้เสียด้วย ว่า พ่อท่านเขียวพระคุณเจ้ารูปนี้ เป็นพระที่มีอาวุโสกว่าพ่อท่านเมฆวาจาสิทธิ์แห่งวัดเชิงแสใต้ พ่อท่านเมฆจึงเรียกพ่อท่านเขียวว่า "หลวงพี่" (และพ่อท่านเมฆก็เรียกพ่อท่านเจียมแห่งวัดเอกว่า หลวงพี่ เช่นกัน) พ่อท่านเขียวนั้นท่านมีความรู้ด้านโอสถหยูกยา เมื่อผมไปวัดกลางกับแม่ ก็จะเห็นครกบดยาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ใกล้ประตูทางขึ้นโรงครัว ผมชอบดูมากชอบตรงที่รางบดยาข้างล่างนั้นรูปร่างเหมือนเรือ นอกจากจะมีวิชายาโอสถแล้ว พระราชปริยัติโกศลเล่าให้ผมฟังว่า "พ่อท่านเขียวท่านมีญาณแก่กล้า ถ่ายรูปไม่ติด เคยให้ช่างภาพจากระโนดมาถ่ายภาพท่านก็ถ่ายไม่ได้ ไม่ติดภาพ นอกจากจะเก่งทางยาแล้ว ท่านยังจับยามสามตาแม่น รู้ว่าอะไรจะเกิดที่ไหน มีอยู่คราวหนึ่ง คนร้ายลักวัวของวัดตัวที่ชื่อว่า "ไอ้ลายนาขอ" แล้วนำไปฆ่า ท่านนั่งทางในก็บอกได้ว่า หัววัวถูกนำไปซ่อนไว้ที่ไหน พ่อท่านเขียวนั่งวิปัสนาทุกคืน เมื่อนั่งเสร็จแล้วตอนเที่ยงคืนท่านจะเดินออกมาที่หน้ากุฏิ แล้วพูดว่า อืม. ท่านเป็นคนร่างใหญ่ เป็นพระที่เคร่งมาก


(กำแพงวัดเชิงแสกลางที่พ่อท่านรื่นได้มีจิตศรัทธาสร้างไว้ ในภาพจะเห็นชื่อของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยและจำนวนเงินที่บริจาค)

     วัดกลางแห่งบ้านเชิงแสให้ความรู้สึกร่มเย็นแก่ตัวผมมาก ผมจึงจำภาพความเป็นไปที่วัดนี้ได้หลายอย่าง ดังจะได้เล่าต่อไป อย่างน้อยก็สักสามสี่เรื่อง คือ ๑.เรื่องพระนอนและพระพุทธรูปรายรอบวิหาร ๒.เรื่อง ต้นโพธิ์ ต้นเนียน ไม้ใหญ่ในวัดกลาง ๓.เรื่อง ความงามของหมู่ที่พำนักสงฆ์ และเรื่องที่ ๔.ซึ่งหากไม่เล่าแล้ว "เชิงแสบ้านแม่ฯ" บทนี้จะไม่สมบูรณ์ นั่นก็คือ เรื่องของ "ลุงหลง" ...เริ่มจากเรื่องที่ ๑.+++. นับเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของวัดกลางที่ต่างจากวัดเอกและวัดเชิงแสใต้ กับรวมถึงวัดอื่นๆในแถบนี้ เพราะการมีพระนอนนั้นที่วัดแถบอำเภอระโนดด้านทะเลสาบผมยังนึกไม่ออกว่าที่วัดไหนมีพระนอน ผู้ศรัทธาในการสร้างพระนอนวัดกลางเกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ ขณะนั้นผมยังเรียนชั้นประถมอยู่ที่โรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์) จำได้ว่าหลังเลิกเรียนแล้วผมจะมาที่ศาลารายด้านบริเวณด้านหลังวิหาร มาดูการสร้างพระ มาบ่อยมาก จำช่างปั้นคนหนึ่งเป็นผู้ชายอายุประมาณ ๕๐ ปี ร่างผอมๆ ได้ ระหว่างที่มีการสร้างพระนอน ก็มีช่างปั้นอีกกลุ่มหนึ่งสร้างพระพุทธรูปเรียงรายเป็นแถวรอบศาลาราย แต่เมื่อถึงบริเวณด้านเหนือสุดตรงประตูทางเข้าแทนที่จะเป็นพระพุทธรูป ช่างกลับปั้นเป็นรูปฤาษีหนึ่งท่านไว้แทน ผมและพวกเด็กๆ ชอบดูมาก โดยเฉพาะชอบดูเคราที่คางฤาษี มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดูการสร้างพระอยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งปีนขึ้นไปที่หน้าต่างวิหารบริเวณด้านหลังพระพุทธรูปประธาน แล้วมาบอกกันว่ามีคนนอนตายอยู่ที่หลังพระประธาน จีวรพระคลุมอยู่ ผมก็ปีนขึ้นไปดู...เห็นแล้วตกใจมาก เหมือนศพที่ถูกคลุมไว้ด้วยจีวรจริงๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ศพหรอก เป็นเพียงดอกไม้ประดิษฐ์บูชาพระที่คลุมไว้ด้วยจีวร ดอกไม้ประดิษฐ์เหล่านี้เป็นดอกไม้ที่นำมาวางไว้เป็นแถวหลังพระประธาน บางแจกันก็สูงบางแจกันก็ต่ำ แต่เมื่อนำมาเรียงกันเป็นแถวติดกันด้านที่เป็นแจกันต่ำดูเหมือนเป็นหัว ต่อมาเป็นแจกันสูงหลายใบเรียงชิดกันเหมือนลำตัว ส่วนที่เป็นขานั้นก็เป็นแจกันหลายใบเช่นกัน เมื่อคลุมไว้ด้วยจีวรจึงเหมือนคนตายนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาด้านหลังพระประธาน...+++...ทั้งพระนอนและพระพุทธรูปรอบศาลารายเป็นพุทธศิลป์ที่งดงามมาก และน่าโน้มใจกายถวายเคารพกราบไหว้บูชาจริงๆ

     เรื่องที่ ๒ เป็นเรื่องไม้ใหญ่ในวัดกลาง ผมขอเริ่มจากไม้ที่หายากก่อน นั่นคือ "ต้นเนียน"...ต้นเนียนที่บ้านเชิงแสนี้ เท่าที่ผมจำได้มีอยู่ ๓ ต้น คือ ต้นที่ขึ้นบริเวณในป่าด้านทิศใต้ของบ้านเชิงแสหัวนอน ต้นหนึ่ง เนียนในป่าต้นนี้เพื่อนเคยนำลูกเนียนมาแบ่งกันกินที่โรงเรียน เพื่อนคนนี้ถ้าจำไม่ผิดคือเพื่อนที่ชื่อ จรัล ชูไทย ซึ่งมีบ้านอยู่ที่ "ในป่า" ทิศใต้ของหมู่บ้าน ขณะนี้พื้นที่ที่ผมเรียกว่า "ในป่า" นั้นเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการอำเภอกระแสสินธุ์ คุณน้าเอื้อมและน้าหีดพ่อและแม่ของจรัลได้ร่วมบริจาคที่ดินให้ทางราชการเพื่อตั้งเป็นศูนย์ราชการของอำเภอ ถึง ๘ ไร่ ผมจึงต้องบันทึกความดีของน้าทั้งสองไว้ ต้นเนียนอีกต้นหนึ่งที่เชิงแสเป็นต้นเนียนซึ่งขึ้นอยู่ที่กลางหมู่บ้าน เมื่อมีการทำถนนครั้งแรกของบ้านเชิงแส ต้นเนียนกลางบ้านก็ยังคงมีอยู่ เพราะเขตถนนกินไปไม่ถึงต้นเนียนต้นนี้ จำได้ว่าเนียนต้นกลางบ้านนี้สูงมาก ครั้งหนึ่งผมเดินผ่านพบลูกเนียนสุกตกอยู่ที่ใต้ต้น จึงนำมากินอย่างอร่อย ลูกเนียนนั้นมีลักษณะรีผิวเกลี้ยง โตกว่าหัวแม่มือไม่มากนัก ถึงสุกแล้วผิวก็ยังออกเขียว หากนึกไม่ออกว่าลูกเนียนคล้ายผลไม้ชนิดใด ก็ขอให้นึกภาพของผลกีวี แต่ลูกเนียนเล็กกว่าประมาณหนึ่งในสี่ ... ต้นเนียนต้นที่สามในความจำของผม ก็คือ ต้นเนียนที่วัดกลาง ต้นเนียนต้นนี้ขึ้นอยู่ที่บริิเวณใกล้กำแพงด้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ นับว่าเป็นต้นเนียนโบราณ นับถึงวันนี้อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี แล้ว ผมไม่เคยเห็นลูกเนียนจากต้นเนียนต้นดังกล่าว แต่โคนต้นเนียนนี้เคยให้ผมได้พึ่งพิง คือว่า เช้าวันหนึ่งผมไปโรงเรียนสาย จึงไปหลบอยู่ที่โคนต้นเนียนเพราะอายชาวบ้านกลัวใครจะเห็นเข้า ครั้นเห็นธงชาติที่โรงเรียนขึ้นสู่ยอดเสาแล้ว ผมจึงเดินออกมาจากโคนต้นเนียน แต่พอเริ่มย่างเดินออกมาเท่านั้น ก็พบครูท่านหนึ่งเข้า ครูท่านนี้จึงบอกว่า "วันนี้ครูกับเธอไปโรงเรียนสายเหมือนกัน"...นอกจากต้นเนียนแล้ว ไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งที่วัดกลาง คือ "ต้นโพธิ์" ต้นที่ขึ้นอยูที่ริมศาลารายด้านทิศเหนือ ที่พิเศษสำหรับผมก็เพราะผมสังเกตว่า ความที่ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นไม้ใหญ่ จึงมีไม้เถาอื่นได้อาศัย ไม้เถาที่อาศัยต้นโพธิ์นี้ มีลักษณะเหมือนงูเขียว เรียกว่าเถาอะไรก็ไม่รู้ ที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งคือที่ใกล้ต้นโพธิ์เป็นลานหญ้ากว้างใหญ่ เป็นที่หนังฉายล้อมผ้ามาเปิดการฉาย เจ้าของภาพยนตร์ที่นำมาฉายนั้น เป็นชาวระโนด บ้านตลาดตก ชื่อว่า "นัน" เรียกกันว่า "หนังนัน" คุณนันเป็นทั้งเจ้าของหนังและคนพากษ์หนัง เมื่อปี ๒๕๑๕ ผมได้ดูหนังฉายของคุณนันเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง "เสือขาว" ที่นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ เพชรา เชาวราษฎร์...ที่วัดกลางนี้ยังมีต้นโพธิ์อีกต้นหนึ่ง ไม่ใช่ต้นใหญ่แต่ว่าเป็นต้นโพธิ์สูง ขึ้นอยู่ที่บริเวณใกล้ประตูทางทิศใต้ ต้นโพธิ์ต้นนี้แปลกตรงที่ว่ามีครั่งที่กิ่งโพธิ์ หลังเลิกเรียนผมและเพื่อนๆ เดินกลับบ้าน เมื่อผ่านใต้ต้นโพธิ์ก็ยืนแหงนมุงดูครั่งกัน เพราะเป็นของแปลกสำหรับเด็กเชิงแส นอกจากนี้ที่วัดกลางยังมีต้นสารภี ๒ ต้น คู่กัน เดินผ่านแล้วคอยแต่ให้นึกถึง "ฌ เฌอ คู่กัน" อยู่เสมอ

     เรื่องที่ ๓ สำหรับที่เกี่ยวกับวัดกลางบ้านเชิงแส ก็คือ เรื่อง "ลุงหลง" ลุงหลงเป็นชายสูงวัย รูปร่างผอมสูง แข็งแรง ลุงเป็น "คนวัด" ที่อยู่กับวัดกลางมานาน พระครูพัฒนฯ(นุ่ม กิตติวโร)แห่งวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับบ้านเกิดของลุงหลงว่า "ลุงหลงไม่ใช่คนบ้านเชิงแส น่าจะเป็นคนแถวๆปละตีนระโนด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นคลองแดน ตะเครียะ หรือที่ไหน ลุงหลงมาอยู่ที่วัดกลางนานแล้ว จนเป็นชาวเชิงแส" ช่วงเข้าพรรษาลุงหลงเดินหิ้วปิ่นโตตามหลังพระ เมื่อพระยืนรับบาตรที่บ้าน ระหว่างที่แม่ตักบาตรนั้น ผมจะส่งถ้วยแกงให้ลุงหลง ให้ลุงเทถ่ายแกงลงปิ่นโต แต่หลังออกพรรษาแล้วที่วัดกลางมีพระน้อยลง ลุงหลงก็ทำหน้าที่สะพายบาตรและหิ้วปิ่นโตมาบิณฑบาตแทนพระ ทุกเช้าผมมีหน้าที่คอยดูลุงหลงว่าเดินมาใกล้บ้านแล้วหรือยัง ครั้นเห็นลุงหลงเดินมา ก็ร้องบอกแม่ว่า "ลุงหลงมาแล้ว ลุงหลงมาแล้ว" ให้แม่มาตักข้าวใส่บาตรลุงหลง ถึงแม้ว่าผมจะมีเรื่องราวของลุงหลงไม่มากนัก แต่มีความรู้สึกว่าผมผูกพันกับภาพของชายสูงวัยคนนี้ และอยากจะเขียนถึง อยากจะเล่าเรื่องของลุงหลงไว้ในเชิงแสบ้านแม่ฯ...คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญยิ่งของลุงหลง ก็คือ ลุงเป็นคนขยันมาก คราวที่พ่อท่านรื่นพระครูวิบูลย์ปรีชาญาณสร้างกำแพงวัดกลางนั้น ท่านได้อาศัยเรี่ยวแรงของลุงหลงตีย่อยหินทุกวัน ภาพการทุบต่อยหินของลุงหลงเป็นที่เล่าขานให้รับรู้กัน จนกระทั่งการสร้างกำแพงวัดกลางแล้วเสร็จ

     สุดท้ายเรื่องที่ ๔ เป็นเรื่องความงามของศาสนสถานอาคารและที่พักสงฆ์ ...จากประตูทางเข้าวัดด้านทิศเหนือ เมื่อเดินตรงไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เศษ ก็จะถึงกลุ่มอาคารหมู่หนึ่ง ตั้งอยู่ทางขวามือ ซึ่งประกอบด้วย ที่พำนักสงฆ์ โถงกลางอเนกประสงค์ หอฉันและโรงครัว รวมทั้งสิ้น ๔ อาคาร โดยมีทางปูนยกสูงเชื่อมถึงกัน...อาคารทั้งหมดเป็นกลุ่มอาคารไม้ใต้ถุนสูง สร้างโดยช่างฝีมือดี จึงงามและแข็งแรงคงทนอยู่จนถึงปัจจุบัน เฉพาะที่พักสงฆ์นั้นเป็นอาคารขนาดยาวหลายห้อง และน่าจะเป็นอาคารที่ยาวที่สุดของบ้านเชิงแส ซึ่งเหลืออยู่ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมาเด็กวัดและครอบครัวมีการถวายภัตตาหารประจำปีที่วัดใหม่พิเรนทร์ กรุงเทพฯ หลายเสียงได้นำเสนอว่า เราควรจะเก็บกลุ่มอาคารของวัดกลางนี้ไว้ และจัดเป็น "พิพิธภัณฑ์บ้านเชิงแส"

     ก่อนจบบทนี้...เห็นควรเล่าด้วยว่า วัดกลางนั้นเป็นวัดที่โดดเด่นด้านการสงเคราะห์มาตั้งแต่ดั้งแต่เดิม ยายและแม่ผูกพันกับวัดกลางมากที่เดียว หย่อมบ้านของแม่นอกจากจะเรียกว่า "บ้านใหญ่" แล้ว ยังเรียกว่า "บ้านตกวัดกลาง" ก็ได้ ความผูกพันระหว่างยายกับวัดกลางที่เห็นได้ที่สุดก็คือ งานศพของยายจัดที่วัดกลาง ได้รับความอนุเคราะห์จากวัดกลางจนเสร็จงาน การที่วัดกลางเป็นวัดแห่งการสงเคราะห์นี้ คงสืบต่อกันมานานแล้ว อย่างน้อยก็คราครั้งที่พ่อท่านเขียวเป็นเจ้าอาวาส ด้วยความที่พ่อท่านมีวิชาด้านโอสถ วัดกลางจึงเป็นที่ปลูกสมุนไพรหลายหลากขนาน ชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย จึงมารับการรักษาจากพ่อท่าน บัดนี้ยังเหลือเครื่องบดยาขนาดใหญ่ไว้เป็นหลักฐาน การสงเคราะห์อีกอย่างหนึ่งที่ต้องกล่าวไว้ คือ เรื่อง "ประปาบ้านเชิงแส" ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ปีนั้นพระครูประทักษ์ธรรมานุกูล(เสถียร อภิปุญโญ)เจ้าอาวาสวัดเชิงแสใต้ เจ้าคณะตำบลเชิงแส พ่อท่านเสถียรท่านได้ร่วมกับพระครูปิยสิกขการ (พระมหาพร้อม ปิยธัมโม)เจ้าอาวาสวัดหัวป้อมใน สงขลา ติต่อให้สำนักงานประปาชนบทที่ ๙ สงขลา มาจัดสร้างประปาขึ้นที่เชิงแส โดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดกลาง เป็นสถานที่ก่อสร้าง ด้วยบารมีของพระคุณเจ้าทั้งสอง ทางการประปาจึงจัดงบประมาณมาให้ และมีการสมทบเงินทั้งของหลวง ของพระ ของชาวบ้าน รวมเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ประปาเชิงแสจึงได้ก่อเกิดขึ้น เมื่อเริ่มแรกที่มีการเจาะบ่อบาดาลที่วัดกลางนั้น เด็กๆ อย่างพวกผมได้เล่นน้ำบาดาลกันอย่างสนุกสนาน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นน้ำบาดาล การก่อสร้างถังประปาและระบบทั้งหมดแล้วเสร็จในปี ๒๔๑๖...สุดท้ายในการสงเคราะห์ของวัดกลาง คือ "การเลี้ยงน้ำชา" ที่ศาลาวัดกลาง...การเลี้ยงน้ำชาที่บ้านเชิงแสนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เรียกกันว่า "กินน้ำชา" ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีที่ชาวบ้านเชิงแสบางครอบครัว ได้รับความเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ที่ต้องใช้คราวละมากๆ ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ก็ "ออกปาก บอกเลี้ยงน้ำชา" ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน บางรายแจกบัตรด้วย ข้อความก็ประมาณว่า ..."ข้าพเจ้า...ได้รับความเดือดร้อน ขอชิญท่านร่วมดื่มน้ำชา ที่วัดกลาง..." การบอกเลี้ยงน้ำชานี้ผู้เป็นเจ้างานจะไม่ระบุจำนวนเงิน จึงเป็นการสงเคราะห์กันตามใจสมัครเอื้อเฟื้อ...เมื่อได้รับบัตรบอกแขกเลี้ยงน้ำชาดังกล่าวแล้ว ผมก็จะรอด้วยความใจจดใจจ่อ รอให้พ่อบอกว่า "งานนี้ให้บ่าวไปกินน้ำชาแทน" แล้วบ่ายวันเลี้ยง ผมก็เดินไปวัดกลางด้วยความยินดีอย่างยิ่ง "น้ำชา" สำหรับบ้านเชิงแสนั้น ไม่ได้หากินกันง่ายๆ นะครับ ไม่เหมือนน้ำหม้อที่จะชดได้ทุกวัน เจ้าภาพใช้ศาลาวัดกลางที่ตั้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์เป็นสถานที่ตั้งเตาและหม้อต้มน้ำ เมื่อผมไปถึง เจ้าภาพก็เรียกให้ร่วมดื่ม ผมก็ไปนั่งบนศาลาจุดที่อยู่ใกล้ๆ กับที่ชงน้ำชา...ดูเจ้าภาพชงน้ำชา และยื่นถ้วยน้ำชาส่งให้ กลิ่นน้ำชาหอมกลุ่น แต่สำหรับชีวิตของเจ้าภาพแล้วในห้วงเวลาที่เดือดร้อนจนต้องบอกเลี้ยงน้ำชา คงจะไม่หอมนัก ...ดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว เจ้าภาพก็จะถามตามมารยาทว่า "เอาเหรอยไม่?" คือจะดื่มอีกสักแก้วมั้ย? เราก็ต้องตอบตามมารยาทว่า "ไม่พรื้อ น้าหลวงเหอ เอมแล้ว" แล้วมอบเงิน ๑๐ บาทให้เจ้าภาพ

     วันนี้วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เป็นวันมาฆะบูชา ที่เชิงแส ค่ำนี้จะมีการเวียนเทียนกัน เมื่อเป็นเด็กแม่เคยนำผมมาเวียนเทียนรอบศาลาการเปรียญวิหารของวัดกลางแห่งนี้ ก่อนเวียนท่านเจ้าอาวาสนำพระสงฆ์ และชาวบ้าน ทำพิธีสวดมนต์ไหว้พระในวิหารก่อน เสร็จแล้วท่านก็นำมายืนตั้งแถวที่หน้าวิหาร และสวดมนต์สั้นๆอีกบทหนึ่ง แล้วจึงเดินนำหมู่สงฆ์และชาวบ้านเวียนเทียน ท่ามกลางแสงเทยีนและนวลแสงจันทร์ของเพ็ญมาฆะ ชาวเชิงแสจะกล่าว "คำพระ" ระหว่างที่เดินประทักษิณา เวียนขวาตามพื้นคอนกรีตไปทางด้านทิศใต้ของวิหารว่า "อรหัง สัมมา สัมพุทโธ...เป็นอัศจรรย์ น่าเลื่อมใสจริง" เด็กๆบางกลุ่มที่พิิเรน เมื่อพิธีเวียนเทียนแล้ว ก็พูดเป็นคำกลอนเพี้ยนๆ ต่อไปว่า "เป็นอัศจรรย์น่าเลื่อมใสจริง ลุงขลิ้งใส่เกือก"


(ภาพของผม "นิกร ทัสสโร" คนเชิงแส ขณะที่วางมาดประคองภาพวาดวัดกลางซึ่งจิตรกรได้วาดไว้เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณ พ.ศ. ๒๒๒๓)

     ผมเล่าเรื่อง "เชิงแสบ้านแม่ บ้านทุ่งริมเล" มาครบ ๑ ปี กับ ๑ เดือน แล้ว ทุกบทที่เขียนนั้นขอท่านโปรดเข้าใจด้วยว่า ยังเขียนไม่จบแม้แต่บทเดียว เพียงแต่นำมาโพสต์ให้ท่านที่มีความสนใจเกี่ยวกับประวัติชุมชน ท้องถิ่น ชาติพันธ์ุ และบรรดาลูกหลานเหลนของชาวบ้านเชิงแส ตลอดจนชาวบ้านใกล้เคียง อย่างเกาะใหญ่ เขาใน โคกพระ เขารัชปูน ได้อ่านกันก่อน และตั้งใจจะเขียนไปเรื่อยๆ อีกประมาณ ๑๐ บท คงใช้เวลาประมาณ ๒ หรือ ๓ ปี ซึ่งเมื่อเทียบกับประวัติของหมู่บ้านที่น่ามีมาตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนนั้นแล้ว ต้องนับว่าผมใช้เวลาเขียนน้อยมากๆ แต่ก็ถือเสียว่าเป็นการจุดประกายแรกให้มีการเขียนการบันทึกถึงเรื่องราวท้องถิ่นและบ้านเกิดของตนเอง ที่ผ่านมามีผู้เข้าอ่านเข้าชมมากกว่า ๔,๗๐๐ ครั้งแล้ว ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน โดยเฉพาะเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ มีการเข้าชมจากประเทศสหรัฐอเมริกาถึง ๑๔๘ ครั้ง และมีผู้เข้าชมที่เมืองไทยอีก ๕๑ ครั้ง ...นอกจากนั้นมีคุณน้ำค้างหลานของคุณครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์ โพสต์ความเห็นมา ๑ ครั้ง ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก คุณครูวิทย์มีพระคุณและให้ความเมตตาผมอย่างที่สุดมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก คราวท่ี่ผมบวชท่านก็มาร่วมเดินเวียนพระอุโบสถด้วย หาได้ไม่ง่ายนะครับ ที่นาคคนหนึ่งจะมีครูที่สอนมาในชั้น ป.เตรียม มาร่วมงานบวช.,,.อีกสักระยะจะนำภาพพ่อท่านรื่นและภาพเมืองบาลิงมาให้ได้ชมกัน...ระหว่างนี้ขอส่งความสุขและสวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗ แด่ท่านผู้อ่านตลอดจนมวลมหาประชาชน และมวลอนุประชาชนทุกท่าน นะครับ...ช่วงนี้ ๑๓ มกรา กำลังจะปิดกรุงเทพครับ เขาจะ "SHUTDOWN BANGKOK" ชัตดาวน์แบงค็อก กันแล้ว ส่วนที่เชิงแสบ้านผมนั้น ไม่มีชัตดาวน์แบงค็อก มีแต่ "ซัดราวหัวครก" ซัดราวโหม้งหัวครกกันครับ คือเอาเมล็ดมะม่วงหิมพานต์มาเล่นซัดราวกัน บางวันเล่นซัดราวจนลืมไล่วัวเข้าคอก ก็เป็นที่แน่นอนว่าวันนั้น ไม่ถูกดุก็ต้องถูกตี)

     ชัตดาวน์กรุงเทพฯ มาถึงวันนี้ก็มีข่าวเศร้าสุดอาลัย คุณประคอง ชูจันทร์ นักสู้จากนครศรีธรรมราช ซึ่งถูกพวกขี้ขลาดลอบโยนระเบิดทำร้าย ได้เสียชีวิตแล้ว และจะตั้งศพที่วัดเทพศิรินทราวาส ขอให้ดวงวิญญาณของคุณประคองยอดนัดสู้จงไปสู่สุคติ....ส่วนมะรืนนี้วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ก็จะมีการพระราชทานเพลิงศพคุณสุทิน ธราทิน ผมตั้งใจไปร่วมงานด้วย แม้จะไม่รู้จักกัน แต่ก็รู้ในคุณงามความดีของเขา และรู้ว่าเขาเสียสละเพื่อชาติมากกว่าผม...คนเชิงแสบ้านผมนั้นถือคติที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ งานศพเป็นงานที่เจ้าภาพไม่ต้องบอก เมื่อรู้ก็ไปทำบุญ ไปร่วมงานได้ ถือไม้ฟืนกันไปป่าช้า พ่อสอนผมว่า "นึกถึงความดี ไปเผา ไปจี กัน".๐๐๐๐๐+++++....๐๐๐๐๐๐++++++/

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๘ "คุรุเมธี" ที่เชิงแส ครูของแม่และครูของผม


บทที่ ๘ "คุรุเมธี" ที่เชิงแส ครูของแม่และครูของผม



(พระเถระของบ้านเชิงแส และคณะคุณครูโรงเรียนวัดเชิงแส กับคณะกรรมการโรงเรียน ถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าอาคาร ๒ ...ด้านขวามือของภาพ...จะเห็นรูปของคุณครูหลัก มุสิกรักษ์ ครูของแม่อยู่ในกรอบภาพถ่ายเป็นเกียรติเป็นศรีอยู่เสมอมาทุกสมัย...+++...ภาพแถวนั่ง(จากซ้าย).ครูเสรี ชุมทอง,ครูปราโมทย์ น้อยเสงี่ยม,ครูบวร วรารัตน์,พระจวง,พระครูประทักษ์ธรรมานุกูล,พระครูปิยสิกขการ,ครูเทิด จินดานาค,ครูชื่น เมืองศรี...ภาพแถวยืน(จากซ้าย)น้าจ้วน สาโรจน์,ลุงจูด สังขะบุญญา,น้ากิมจั่น ประพันธ์ ธีระกุล,ครูแอบ ศิริรักษ์,น้านิตย์ นกเพชร,แปะล่อง พรหมบรรจง,ครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์,ลุงดิษฐ์ ปิ่นทองพันธ์,น้ากำนันลิ่ม ประชา สมุทรจินดา,และลุงแมว นวลละออง)

     ผมขึ้นต้นบทที่ ๘ นี้ไว้ ด้วยคำที่ยิ่งใหญ่โดยความรู้สึกของผมจริงๆ คือผมรู้สึกว่า เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีโอกาสได้ทำงานที่มีเกียรติและมีโอกาสได้เขียนหนังสือสำคัญหลายเล่ม เช่น หนังสือเรื่อง "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" ...หนังสือเรื่อง "๘๔ พรรษา พระภูมิบาล รอยเสด็จฯ ภูมิสถาน ศาลยุติธรรม" ...เป็นบรรณาธิการหนังสือ "คุรุเมธี ธานินทร์ กรัยวิเชียร" กล่าวเฉพาะหนังสือเล่มหลังนี้ จัดทำขึ้นในวาระที่ ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี มีอายุครบ ๘๔ ปี คำว่า "คุรุเมธี" นี้ผมคิดขึ้นด้วยตัวผมเอง และติดอยู่ในใจผมอยู่ตลอด ติดอยู่ว่า ที่จริงแล้วครูของแม่และครูของผมที่บ้านเชิงแสนั้นก็นับว่าเป็นปราชญ์และปูชนียบุคคลไม่ต่างกับครูบาอาจารย์ในวงการศาล สมควรแก่เวลาแล้วไม่ใช่หรือ? ที่เด็กบ้านนอกอย่างผมจะได้เขียนถึงท่าน แต่ก็ได้แต่ "จะ" และ "จะ" อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เขียนเสียที่ เมื่อวานนี้เองท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา โทรศัพท์มาสอบถามเรื่องราชการบางอย่าง และพูดตบท้ายว่่า "ที่เชิงแสนั้นมีครูหลัก เป็นปูชนียบุคคลนะ จำได้มั้ย?." ผมตอบว่า "จำได้ครับ ท่านนามสกุล มุสิกรักษ์ ครับ บ้านท่านอยู่ที่เชิงแส ตรงที่เรียกว่า คลองคด ครูหลักเป็นครูของแม่ ส่วนครูของผมนั้นมีหลายท่าน ท่านหนึ่ง ชื่อ ครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์ " ขณะนี้ทั้งครูของแม่และครูของผมไม่อยู่แล้ว.........++++++.........บทนี้จึงเป็นเรื่องครูของแม่และเรื่องครูของผม.....

     เบื้องต้น ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องครู ก็ควรต้องเริ่มที่โรงเรียนก่อน โรงเรียนของแม่และโรงเรียนของผมนั้น ชื่อ "โรงเรียนวัดเชิงแส (เมฆประดิษฐ์)" ครูของแม่คนแรกและน่าจะเป็นคนเดียวที่ต้องสอนตั้งแต่ประถม ๑ ถึงประถมปีที่ ๔ คือ คุณครูหลัก มุสิกรักษ์ ครูหลักเป็นครูคนแรกของโรงเรียนวัดแห่งนี้ ครั้นเมื่อพ่อท่านเมฆวาจาสิทธิ์เริ่มตั้งโรงเรียนขึ้นในปี ๒๔๖๕ นั้น ท่านให้ใช้โรงธรรมของวัดเชิงแสใต้ หรืออีกชื่อหนึ่งอันเป็นชื่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ว่า "วัดเชิงแสหัวนอน" เป็นโรงเรียนเป็นสถานที่สอนหนังสือของครูเป็นที่เรียนหนังสือของเด็ก ครั้นถึงปี ๒๔๗๙ แม่อายุได้ ๘ ปี แม่ก็ไปนั่งเรียนหนังสือในโรงธรรมแห่งนี้ ด้วยความที่พื้นโรงธรรมเป็นกระเบื้องขนาดใหญ่ขนาดแต่ละแผ่นสิบสองนิ้วคูณสิบสองนิ้ว แม่และเพื่อนๆ ทั้งหญิงทั้งชาย เช่น พระครูปิยสิกขการ (พร้อม ปิยธัมโม , ป.ธ.๔) คุณน้าเลื่อน เครือแก้ว คุณน้าจูเหี้ยง จิระโร จึงนั่งกันคนละแผ่นกระเบื้องเป็นที่นั่งเรียนหนังสือ เพราะไม่มีทั้งโต๊ะและเก้าอี้ นั่นคือโรงเรียนแรกของแม่ "ครูหลัก" ท่านทุ่มเทและตั้งใจสั่งสอนนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าท่านเป็น "หลัก" ทางการศึกษาให้แก่เด็กบ้านเชิงแสสมแก่ชื่อของท่าน จึงด้วยความทุ่มเทดังกล่าวเด็กเชิงแสโดยเฉพาะเด็กหญิงเช่นแม่ที่ไม่สามารถบวชเรียนทางพระได้ จึงได้มีความรู้อ่านออกเขียนได้ แม่เรียนจบชั้นประถม ๔ จากที่นี่แล้ว ก็ถือว่าจบการศึกษาในระบบโรงเรียน ชีวิตของแม่ที่เหลือจึงเป็นชีวิตที่ต้องอาศัยบ้านเชิงแส คลองเชิงแส ทะเลสาบสงขลา และท้องนาท้องทุ่ง เป็นสถานศึกษา และเป็นที่สอนวิชาความรู้ให้แก่ผม ที่ผมจำได้ไม่ลืมเลย ก็คือ วันหนึ่งที่แม่และผมเดินตามคันนากลับบ้าน แม่สอนผมว่า เมื่อลูกเรียนจบที่โรงเรียนเชิงแสแล้ว ต้องเรียนชั้นสูงขึ้นที่ในเมืองที่สงขลา และจากนั้นก็เรียนหนังสือให้สูงขึ้นอีกที่กรุงเทพฯ ผมถามแม่ว่าคนเรียนจบที่กรุงเทพฯแล้ว เขาเรียนที่ไหนต่อ แม่ตอบผมว่า "เรียนที่เมืองนอก" ผมถามว่า "เมืองนอกพันพรื้อแม่? เมืองนอกอยูเท่ไน่?" แม่ตอบว่า "เมืองนอกอยู่ต่างประเทศ ภาษาเขาแหลงกันไม่เหมือนประเทศเรา ต้องไปทางเรือเหาะ" ที่บ้านผมไม่มีทั้งวิทยุและโทรทัศน์ แม่รู้ได้อย่างไรว่าโลกนี้มีเมืองนอก? แม่รู้ก็เพราะแม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดเชิงแสและเพราะแม่มีครูที่ชื่อว่า "ครูหลัก มุสิกรักษ์" นั่นเอง

     กาลต่อมา โรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์)มีคุณครูผู้สอนสั่งเพิ่มอีกสองสามท่าน บางท่านนักเรียนและชาวบ้านก็ตั้งฉายาให้เหมือนกัน เช่น ให้ฉายาครูจ่าและครูแดงว่า ...."ครูจ่าขี้แหลง ครูแดงขี้เมา" เป็นการให้ฉายากันด้วยความเคารพตามบุคลิกอุปนิสัยของท่าน โดยมิได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างใด ครูของโรงเรียนนี้เป็นครูผู้ชายทั้งนั้น จนกระทัั่งถึงปี ๒๕๑๘ จึงมีครูผู้หญิง ท่านบรรจุใหม่ มาสอนวิชาภาษาอังกฤษ คุณครูสตรีท่านนี้ ชื่อว่า "คุณครูสุพร หมานมานะ" เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมาท่านเกษียณแล้วครับ เกษียณอายุราชการที่โรงเรียนบ้านกลาง และด้วยใจอันเป็นกุศลท่านจึงได้ตั้งกองทุนขึ้นเพื่อการศึกษา ผมทราบข่าวนี้จึงได้มีโอกาสร่วมบุญด้านการศึกษากับครูสุพร ครูผู้หญิงคนแรกของผม...และหากโลกนี้สามารถของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ก็ขอให้กุศลจิตของผมคราวนี้ จงส่งผลให้นักเรียนโรงเรียนวัดเชิงแส (เมฆประดิษฐ์)โรงเรียนแห่งแรกของครู จงสำเร็จการศึกษาชั้นสูงเป็นคนดีและเป็นคนเก่งของสังคมทุกๆคน...ผมขอมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้??...คุณครูสุพรสอนวิชาภาษาอังกฤษในคราวนั้น ท่านได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ประกอบการสอน คือ นำเครื่องเทปเปิดเสียงภาษาอังกฤษให้นักเรียนฟัง พวกเราตื่นเต้นกันมากทีเดียว...เมื่อคุณครูสุพรเริ่มสอนที่เชิงแสเป็นโรงเรียนแรกในวิชาชีพครูนั้น ครูอายุได้ประมาณ ๒๒ ปี เห็นจะได้ ครูเป็นสาวสวย แต่งกายด้วยชุดสวยเรียบร้อย นับได้ว่าครูเป็น "ดาวแห่งบ้านนาที่มาจากในเมือง"

     เขียนเรื่องราวของครู คุรุเมธีที่บ้านเชิงแสคราวนี้ได้ไม่มากนัก ผมมีข่าวที่น่าเสียใจที่จะเรียนให้ทราบว่า วันนี้ ...วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ คุณครูแอบ ศิริรักษ์ คุณครูที่สอนผมเมื่อชั้นประถม ๓ ได้จากไปแล้ว วันนี้เอง หลวงพี่ปรีชากรุณาแจ้งข่าวให้ทราบ ถือเป็นข่าวเศร้าของชาวเชิงแสครับ เมื่อปีก่อนผมกลับบ้านเพิ่งได้กราบครูมา นั่งคุยกับครูอยู่นานทีเดียว รู้สึกว่าครูยังแข็งแรงดีมากๆ ขอกราบคารวะคุณครูด้วยความอาลัยยิ่งครับ......"เทียนธรรมดวงนี้ให้แสงสว่าง ศิษย์เห็นแนวทางคุรุเมธี แม้ชีพเลือนลับดับล่วง เกียรติครูกลับช่วงเกินดวงมณี...คงคุณความดีเป็นศรีแผ่นดิน"

     ช่วงแรกของบทนี้ ผมได้กล่าวถึงคุณครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์ ไว้บ้างแล้ว คุณครูวิทย์ก็นับว่าเป็นปูชนียบุคคลแห่งบ้านเชิงแสเช่นกัน ครูและแม่เกิดปีไล่เลี่ยกันและได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดเชิงแสเหมือนกัน ครูวิทย์สอนหนังสือเด็กเชิงแสมาหลายสิบรุ่น บางครอบครัวครูสอนรุ่นพ่อแล้ว ถึงชั้นลูกครูก็สอนอีก เล่ากันว่า...ในบางคราวคุณครูเคยบ่นว่า ..."รุ่นพ่อก็ตอบคำถามนี้ไม่ถูก มาถึงรุ่นลูกก็ตอบข้อนี้ผิดอีก" ...ครูวิทย์ไม่ได้เป็นครูที่ทำหน้าที่สอนหนังสือเท่านั้น ในด้านการพัฒนาชุมชนครูก็เป็นผู้นำ เช่น เมื่อปี ๒๕๑๖ ครูวิทย์เป็นผู้นำในการจัดสร้างถนนสาย "สระโพธิ์ ถึง สะพานกลางบ้าน" โดยครูจัดหา หิน ทราย และรับบริจาคปูนซีเมนต์ สำหรับก่อสร้างถนนจนแล้วเสร็จ ขณะนั้นผมอายุได้ ๙ ปี แต่ก็ยังจำสภาพถนนสายนี้ได้ดี เป็นถนนสูงขนาบด้วยคูน้ำลึกทั้งสองข้างทาง หากยืนอยู่ที่หัวสะพานด้านทิศใต้ และหันหน้าไปทางทิศใต้ ไปทางสระโพธิ์ ด้านซ้ายมือที่ชายคลองเป็นที่ตั้งบ้านของครู ด้านขวามือเป็นกลุ่มกอไม้ไผ่ริมคลอง บริเวณนี้มีไผ่ขึ้นเป็นดง รากไผ่สูงจากน้ำในคลองประมาณ ๑ เมตร รากไผ่ถูกน้ำในคลองสาดซัดอยู่เสมอ จึงขาวงามตา ถัดไปทางทิศใต้นับจากบ้านของครูวิทย์ เป็นบ้านคุณครูชื่น เมืองศรี ครูใหญ่โรงเรียนวัดเชิงแสในรุ่นของผม หลังบ้านครูเป็นที่ตั้งของบ้านครูบวร วรารัตน์...ละแวกนี้จึงมีบ้านของครูอยู่ ๓ ท่าน ...นอกจากครูวิทย์จะได้เป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนสายนี้แล้ว ต่อมาในปีเดียวกันครูก็ได้สร้างสะพานเล็กๆ แต่แข็งแรงขึ้นที่หนึ่ง คือสะพานข้ามทางน้ำที่ถนนสาย "สระโพธิ์ ถึง สำคอแดง"....กิจกรรมพัฒนาด้านการสร้างถนนหนทางที่สำคัญยิ่งเพราะเป็นถนนสายใหญ่ นั่นคือ ถนนสาย "เชิงแส ถึง เจดีย์งาม" ถนนสายนี้ครูและชาวเชิงแสทุกคนภายใต้การนำของ พระอาจารย์เลื่อน ปุญญสุวรรณโณ พระครูปิยสิกขการ (พร้อม ปิยธัมโม) พระอธิการเฉลิม ชุติวัณโณ ได้ร่วมแรงร่วมใจขุดสร้างขึ้น เป็นถนนที่เจ้าของนาในเส้นทางต้องเสียสละบริจาคที่ดินให้ทำเป็นถนน โดยที่ทางราชการไม่ต้องจ่ายค่าเวนคืนแม้แต่สตางค์เดียว ....และไม่มีข้อครหาว่าใคร "ไปซื้อที่ดักหน้าไว้ รอถนนตัดผ่าน"

     นอกจากนั้นเมื่อนักเรียนที่โรงเรียนวัดเชิงแสขาดแคลนเงินทุนการศึกษา ใน พ.ศ.๒๕๑๗ ครูวิทย์ก็เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มจัดตั้ง "กองทุนการศึกษาโรงเรียนวัดเชิงแส"...ในส่วนการทุ่มเทเอาใจใส่นักเรียนนั้น ยามหัวค่ำคุณครูวิทย์จะเดินไปแทบทุกบ้าน ผ่านบ้านหลังไหนท่านจะเรียกชื่อนักเรียน แล้วสอบถามว่าอ่านหนังสือแล้วยัง? ผมถูกครูเรียกอยู่บ่อยๆ "นายนิกรอ่านหนังสือแล้วไม่? เหอว่าหลับแล้ว? " ผมก็จะตอบเป็นภาษาใต้ว่า "อ่านแล้ว ครูเหอ...ยังไม่นอนที"...เมื่อคราวที่ผมลาบวชครูไปร่วมงานบวชของผม ครูชั้นประถม ๑ ท่านนี้ได้ร่วมเดินรอบอุโบสถวัดเอกพร้อมๆกับผมที่เป็นนาค คุณครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์ ท่านเป็นครูที่ประเสริฐสุด เป็นคุรุเมธีที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเชิงแส นับได้ว่าท่านเป็นดุจ....."เทียนธรรมดวงหนึ่งซึ้งในใจศิษย์ งามด้วยชีวิตและการถักทอ ก่อเกิดดอกผลคุณธรรม งามล้ำชูช่อ แตกก้านกิ่งกอให้ชนชื่นชม" อย่างแท้จริง ....บัดนี้อัฐิของครูสงบนิ่งอยู่ใน "บัว" ที่วัดหัวนอน วัดเชิงแสใต้ ครับ..+++๐๐๐๐๐+++...เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปไหว้บัวของครูและถ่ายภาพไว้ จากนั้นก็ถ่ายภาพป่าช้าบ้านเชิงแส เหลือเชื่อจริงๆ เชิงตะกอนสีดำสูงใหญ่ทมึนที่พวกเราเคยกลัวกันมาก บัดนี้ทรุดโทรมโรยราลงอย่างน่าใจหาย เช่นเดียวกับศาลาในป่าช้าก็ทรุดโทรมลงเช่นกัน จากป่าช้าเดินเรื่อยไปจนถึงสระโพธิ์ ผ่านต้นโพธิ์ใหญ่ โพธิ์ต้นนี้ผมและคุณครูผดุง สุวพนาวิวัฒน์ บุตรชายของครูวิทย์ เคยมายืนหลบฝนระหว่างที่เดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน ครูผดุงบอกว่า "ต้นไม้ใหญ่อย่างนี้ มายืนหลบฝนไม่ได้ ฟ้าจะผ่าเอา...แต่วันนี้มันจำเป็น" ผมหัวเราะและคิดทบทวนว่าเคยสาบานไว้บ้างหรือเปล่า? ทิ้งความจำเก่าๆไว้แล้วเดินตามถนนจากสระโพธิ์จนถึงบ้านของครู ซึ่งเป็นบ้านที่ครูปลูกใหม่ จะว่าปลูกใหม่ก็ไม่เชิงนัก เป็นการขยับจากริมคลองเข้าไปด้านในมากกว่า เหตุการตอนนั้นนับเป็นความเสียสละของครูครั้งสำคัญในชีวิต ครูมาหาพ่อที่บ้านของผม ครูบอกพ่อว่า "อายุมากอย่างเรานี้ เป็นวัยที่ต้องอยู่บ้าน ไม่ใช่วัยที่จะมาสร้างบ้านใหม่" แต่ด้วยความเสียสละของครู ในที่สุดครูก็จำต้องสร้างบ้านใหม่ เพื่อให้ได้ทำถนนที่ริมคลอง...ผมเข้าไปในบ้าน ไหว้คุณน้าขาวคู่ทุกข์คู่ยากของครู น้ายังแข็งแรงและความจำดีมาก น้าเล่าเรื่องของแม่ผม เล่าเรื่องราวของตัวน้าเอง ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขที่ได้พูดคุยกับคนเก่าคนแก่ของบ้านเชิงแส เป็นความสุขที่หาได้ยากในสังคมกรุงเทพฯ ก่อนไหว้ลาผมสังเกตว่าบ้านของครูยังเป็นบ้านที่สะอาดเหมือนเดิม กระดานไม้ยังให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนกับวันเก่าๆ ที่ผมเคยมาที่บ้านครู และบางวันก็กินข้าวมื้อเที่ยงที่บ้านครูนั่นแหละ




(ภาพ "บัว" ที่บรรจุอัฐิของครูวิทย์ สุวพนาวิวัฒน์ ในวัดเชิงแสใต้ ใกล้ๆกับป่าช้าบ้านเชิงแส)


(ภาพ "ป่าช้า" ของบ้านเชิงแสในปัจจุบัน,ซึ่งต้นยางนาขนาดสองสามคนโอบหายไปหมดแล้ว,แต่เท่าที่สังเกตยางนาเท่าที่พอมีอยู่บ้างก็ยังให้พอได้ชื่นใจในการคิดถึงวันเก่าๆ)


(ภาพ "เชิงตะกอน" ป่าช้าบ้านเชิงแส,เชิงตะกอนนี้เดิมสูงใหญ่ และเคยมีดงไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวมาก,วันนี้เหลืออยู่เท่าที่เห็น)

     โรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์)และคณะครูของโรงเรียนนี้ผลิตนักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่า เริ่มแรกศิษย์เก่าของที่นี่เมื่อเรียนจบแล้วก็เป็นชาวนาตามอาชีพดั้งเดิมของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย จนในระยะหลังประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมาบรรดาลูกศิษย์ของครูที่เชิงแสได้ออกจากบ้านไปเรียนต่อที่ในเมืองสงขลาและที่กรุงเทพฯอย่างต่อเนื่อง หลายคนจึงได้เริ่มรับราชการและประกอบอาชีพเป็นนักธุรกิจ แต่มีผู้หญิงศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้คนหนึ่งที่ต้องพบกับความโศกเศร้าในชีวิต เป็นเรื่องราวของผู้หญิงรุ่นเดียวกับแม่ ที่ผมอยากจะเล่าด้วยความเคารพและสงสารในชีวิตของเธอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าชีวิตของเธอโชคชะตาจะกำหนดให้พานพบกับความอยุติธรรม จากหญิงงามแห่งบ้านเชิงแส กลับกลายผันแปรเป็นหญิงเสียสติ เพราะฤทธิ์ของ "ยาสั่ง" ที่ครอบครัวของเธอโดนกันทุกแทบทุกคน เธอผู้อาภัพนี้ชื่อว่า..."วัดเนี่ยว"

     "สาววัดเนี่ยว"....สาววัดเนี่ยวเป็นลูกสาวคนโตของลุงขลิ้งและป้าตั้น พี่ดวงพรพี่สาวคนโตของผมให้ข้อมูลว่า ลุงขลิ้งเป็นพี่ของลุงขลุกมีนามสกุลว่า "ชัยเชื้อ" ส่วนป้าตั้นนั้นเป็นคนตำบลเกาะใหญ่ในสกุล "จันทร์ศรีบุตร" สาววัดเนี่ยวเธอเป็นพี่คนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสี่คน ทั้งสี่พี่น้องเติบโตในบ้านซึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของวัดเชิงแสกลาง ลุงขลิ้งเป็นคนเชื้อจีนเหมือนแม่ ลุงเป็นคนผิวขาวร่างโปร่ง ลุงมีฐานะพอสมควรทีเดียว คือ มีที่นา และมีความรู้ในระดับที่ได้ทำหน้าที่เก็บเงินจากผู้ค้าในตลาดบ้านเชิงแส ที่เรียกว่า "ตลาดนัดหัวโคก" ซึ่งเป็นตลาดนัดที่สนามหน้าโรงเรียนวัดเชิงแส ภาษาชาวบ้านเชิงแสเรียกผู้มีหน้าที่เก็บเงินค่าตลาดอย่างลุงขลิ้งว่าทำหน้าที่ "เก็บหัวหลาด" เชื่อกันว่าลุงขลิ้งผู้นี้เป็นผู้ชายคนแรกของบ้านเชิงแสที่สวมรองเท้าหนังหุ้มส้น...สาววัดเนี่ยวลูกสาวของลุงเป็นหญิงงามมาก และมีชายที่เธอชอบพออยู่แล้ว เป็นชายที่มีการศึกษาและหน้าที่การงานดี ต่อมามีชายอีกคนหนึ่งมาสู่ขอเธอแต่งงาน สาววัดเนี่ยวไม่ตกลงแต่งงานด้วย ไม่นานนักสาววัดเน่ียวและบุคคลในครอบครัวแทบทุกคนจึงถูก "ยาสั่ง" เป็นยาที่มีผู้นำมาฝังไว้ใต้ถุนบ้าน ยาสั่งนี้ทำให้บุคคลในครอบครัวของลุงขลิ้งเสียสติกันไปหมด มากบ้างน้อยบ้าง โดยสาววัดเนี่ยวและน้องสาวนั้นถูกยาหนักสุด ถึงกับเป็นบ้า หลังจากนั้นสาววัดเนี่ยวก็ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จนเธอมีท้อง และคลอดลูก "ย่าดำและปู่ปุ่น จ้ายมะโน" สองตายายผู้ใจบุญแห่งบ้านทุ่งบ้านสวนตีนจึงรับเด็กทารกไปเลี้ยงดู ต่อมาไม่นานเด็กก็เสียชีวิต ลูกเสียไปแล้วแต่สาววัดเนี่ยวยังมีชีวิตอยู่ต่อ เป็นชีวิตที่ยากลำบากมากเท่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะพึงพบ สาววัดเนี่ยวมักจะเทินข้าวของไว้บนหัวและหอบเสื้อผ้าเดินอยู่ในหมู่บ้านอย่างน่าสงสาร ผมพบเห็นหลายครั้ง...ท้ายที่สุดเธอและ "บ่าวสะอาด" น้องชายร่างงามที่มีฝีมือเป็นช่างตัดผมและเคยตัดผมให้พี่ชายของผมหลายครั้ง ก็ได้โดยสารเรือไปที่อำเภอระโนด สาววัดเนี่ยวไปนอนอยู่แถวๆอาคารเชิงสะพานข้ามคลองระโนด ...๐๐๐...ขณะนี้เรื่องราวและภาพวาดของสาววัดเนี่ยว ถูกถ่ายทอดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เขียนโดยคุณพี่เอนก นาวิกมูล ชาวระโนดนักเขียนสารคดีมือเอกของประเทศ ในชื่อหนังสือว่า ..."เมื่อวัยเด็ก"...(วันพุธที่ ๒๐ สัปดาห์หน้า ผมจะนำภาพเขียนภาพสาววัดเนี่ยวผู้น่าสงสารมาให้ชมครับ)+++/


(หนังสือของพี่เอนก นาวิกมูล ยอดนักเขียนสารคดีชาวระโนด เป็นหนังสือคุณภาพเล่มใหญ่ที่เขียนถึงเรื่องราวของสาววัดเนี่ยว นางงามของบ้านเชิงแส.)


(สาววัดเนี่ยวผู้น่าสงสาร ฝีมือวาดโดยศักดิ์ดา วิมลจันทร์ ภาพจากหนังสือ "เมื่อวัยเด็ก" ของพี่เอนก นาวิกมูล)

     "ใต้ร่มลานโพธิ์"
     "ใต้ร่มลานโพธิ์" ที่สนามหน้าโรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์)มีต้นไม้ใหญ่อยู่สามต้น ที่ว่าใหญ่นี้ใหญ่จริงๆ นะครับ ต้นหนึ่ง คือต้นยาง ยางนาต้นนี้ขึ้นอยู่ที่ด้านทิศใต้ของสนามหน้าโรงเรียน ที่เรียกว่า "หัวโคก" นี่แหละ ด้วยความใหญ่และความสูงของต้นยางต้นนี้ จึงเป็นสถานที่ปลอดภัยของนกกาบบัว คราวถึงฤดูฟักไข่นกกาบบัวหลายคู่จะมาทำรังวางไข่ที่บนต้นยาง เช่นเดียวกับอีกหลายคู่ที่ทำรังอยู่บนต้นเลียบใหญ่ด้านทิศใต้ของโรงครัววัดหัวนอน เมื่อฟักไข่มีลูกนกและลูกนกบินได้แล้ว นกกาบบัวเหล่านี้ก็กางปีกงามสีชมพูพากันบินจากไป รอจนถึงปีหน้าจึงจะกลับมาอีกครั้ง ผมจำได้ว่าในปี ๒๕๑๘ ยังมีนกกาบบัวมาฟักไข่ที่บ้านเชิงแส แต่หลังจากนั้นจำไม่ได้แล้ว พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า นกกาบบัวนี้มาทำรังที่ต้นเลียบใหญ่วัดเชิงแสใต้ต่อเนื่องกันทุกปีเป็นประจำ เมื่อมีลูกนกแล้วแม่นกจะไปหาปลามาป้อนให้ลูกกิน นกมาทำรังมากจนได้กลิ่นคาวปลาจากใต้ต้นเลียบ...+++...ไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งที่สนามหน้าโรงเรียน คือ ต้นโพธิ์ โพธิ์ใหญ่ต้นนี้จะถือว่าเป็นไม้ประจำโรงเรียนวัดเชิงแสก็ได้ รอบๆต้นโพธิ์ล้อมด้วยลานซีเมนต์ยกสูงราวครึ่งเมตร เมื่อผมไปเรียนหนังสือที่ธรรมศาสตร์ซึ่งมีลานโพธิ์อยู่หน้าคณะศิลปศาสตร์ท่าพระจันทร์ ผมก็ให้รู้สึกว่า ที่โรงเรียนวัดเชิงแสของผมก็มีลานโพธิ์เหมือนกัน ใต้ลานโพธิ์ต้นนี้ทุกเช้าหลังเคารพธงชาติและสวดมนต์แล้ว คุณครูวิทย์จะขึ้นมายืนแจ้งข่าวสารและอบรมนักเรียนด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ครั้งหนึ่งทางการศึกษาอำเภอระโนดจัดให้มีการประกวดโรงเรียนในอำเภอ เมื่อผลการประกวดประกาศออกมาแล้ว ครูวิทย์ประกาศให้ทุกคนทราบว่า "โรงเรียนของเราแพ้เขา" ที่ลานโพธิ์ดังกล่าวเป็นที่รวมกิจกรรมหลายอย่างของนักเรียนและกิจกรรมชุมชนของชาวบ้าน เพราะมีลานสะอาดให้นั่งพัก เช่น เมื่อมีการแข่งขันกีฬาก็ใช้ลานโพธิ์เป็นกองอำนวยการ วัดความสูงของนักกีฬา รุ่นเล็กพิเศษ , รุ่นเล็ก , รุ่นกลาง , รุ่นใหญ่ ...สนามหน้าลานโพธิ์ใช้เป็นที่แข่งขันฟุตบอล โดยเฉพาะฟุตบอลในกลุ่มโรงเรียน ระหว่าง ทีมฟุตบอลโรงเรียนวัดเชิงแสกับโรงเรียนวัดโรง โรงเรียนของผมมีนักฟุตบอลเก่งๆหลายคน เช่น นาถ จิตรบรรจง และ โกวิทย์ สาโรจน์ สองคนนี้เป็นนายประตู , วิเชียร ทะลิทอง และ นิกร ดำสิโก เล่นปีก , แซม ไตรสุวรรณ กองหลัง คนนี้ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น วิวัฒน์ , ไพฑูรย์ ตุกชูแสง คนนี้เป็นกองหน้า , สากล ชนะบางแก้ว กับ วิเชียร (จำนามสกุลไม่ได้,เด็กบ้านโคกพระมีพี่ชื่อประชา) สองคนนี้เล่นตำแหน่งกองกลาง, ที่กล่าวมานี้อาจจะเป็นนักฟุตบอลต่างยุคกันนะครับ .... ส่วนนักกีฬาหญิงที่แข่งแชร์บอลนั้น ผมจำได้คนเดียว คือ หมุก ขุนแก้ว...สำหรับเพลงเชียร์ฟุตบอลมีเพลงหนึ่งจำได้ท่อนท้ายๆ ว่า "...ฟุตบอลมาแบ็ค แบ็คแตะลอย บอลมาหนอยๆ ปลอยให้โกล.." มาหนอยๆนั้นหมายถึงบอลมาไม่แรงมาเบาๆ.....+++...ไม้ใหญ่ต้นที่สามที่ริมสนามหน้าโรงเรียน คือ ต้นมะขาม ซึ่งขึ้นอยู่ทางทิศใต้ของต้นโพธิ์ห่างกันประมาณ ๖๐ เมตร...มะขามใหญ่ต้นนี้ปีนขึ้นเก็บกินยากมาก เพราะโคนต้นใหญ่เด็กๆโอบไม่รอบ แต่ก็มีการแอบขึ้นโดยไม่ให้ครูเห็น การขึ้นมะขามต้นนี้ต้องปีนขึ้นด้านทิศตะวันตก เนื่องจากมีกิ่งหักขนาดแขนอยู่ในตำแหน่งเหนือศีรษะให้โหนได้ เมื่อโหนได้แล้วก็ใช้เท้าทั้งสองรัดหนีบโคนต้นไว้ ใช้มือเกร็งยกยันตัวขึ้นโดยมีเท้าคอยถีบช่วยจนปีนขึ้นได้ ดูยากลำบากเอาการจริงๆ ต้นมะขามนี้มีประโยชน์ด้านกีฬาชนิดหนึ่ง คือ การซัดบอลเข้าเป้า โดยครูและน้านิต นกเพชร ภารโรงของโรงเรียนช่วยกันนำกระดานดำมาตอกตะปูตรึงไว้กับโคนต้นมะขาม ใช้ชอกล์ทำวงเข้าที่กระดาน จากนั้นกำหนดจุดให้ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๒ ถึง ๑๕ เมตร ใช้ลูกเทนนิสชุบน้ำในถังให้เปียก แล้วผลัดกันปาเป้า เป็นกีฬาของเด็กบ้านนอกที่สนุกดี กีฬาชนิดนี้ถูกเลิกไปโดยปริยาย เมื่อปี ๒๕๑๕ คืนหนึ่งมีพายุฝนแรงมากตลอดคืน เช้าขึ้นมาแม่ไปส่งผมที่โรงเรียน เราสองคนเดินไปท่ามกลางสายฝนที่ยังตกพรำๆ เมื่อผ่านกำแพงวัดกลาง ก็ให้แปลกใจที่มองไปทางทิศใต้ที่โรงเรียนตั้งอยู่ไม่เห็นยอดต้นมะขาม ครั้นข้ามสะพานที่ "คลองควายอ่าง" และเข้าเขตโรงเรียนแล้ว พบว่าพายุเมื่อคืนพัดแรงจนมะขามใหญ่ต้นนี้ล้มลงเสียแล้ว...อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ที่สนามหน้าโรงเรียนวัดเชิงแสก็ยังคงมีต้นโพธิ์ใหญ่ให้ร่มแก่ลานโพธิ์อยู่ดังเดิม

     "ร่มโรงธรรม"
     "ร่มโรงธรรม"....เมื่อกล่าวถึงร่มของลานโพธิ์สถานที่ซึ่งนักเรียนได้ยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ ตลอดจนฟังโอวาทข่าวสารจากคุณครูในตอนเช้าๆแล้ว สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่นักเรียนต้องประชุมเพื่อไหว้พระสวดมนต์ในเวลาเย็นของวันศุกร์ ก็คือ "โรงธรรม" ของวัดเชิงแสใต้ ทั้งนี้เนื่องจากโรงเรียนวัดเชิงแสนั้นไม่มีหอประชุม จึงต้องใช้โรงธรรมของวัดเป็นที่ประชุมสวดมนต์ และประชุมในคราวอื่นวาระอื่น เช่น ประชุมฟังการประกาศผลสอบประจำภาค ในการประชุมฟังผลสอบนั้น นักเรียนทุกคนตั้งแต่ชั้นประถม ๑ ถึงประถม ๗ ทั้งห้อง ก และห้อง ข นั่งเข้าแถวตอนแยกตามชั้นรวม ๑๔ แถว จากนั้นคุณครูใหญ่จะพูดถึงภาพรวมของการสอบ แล้วเมื่อถึงเวลาก็ประกาศผลสอบ เด็กนักเรียนที่สอบได้ที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะได้รับเกียรติให้ยืนขึ้น และไดรับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นของขวัญ กำลังใจ นอกจากนั้นในวาระเดียวกันครูก็ประกาศชื่อนักเรียนที่สอบตกด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ผมเรียนชั้นประถมปีที่ ๗ ปีนั้นหลังจากที่ครูประกาศชื่อผู้สอบได้และนักเรียนลำดับที่ ๓ ลุกขึ้นยืนแล้ว ครูก็อ่านชื่อคนสอบตก ว่า "ผู้ที่สอบตกมี ๑. เด็กชาย...." สิ้นเสียงของครูปรากฏว่า เด็กชายคนที่เป็นเจ้าของชื่อก็ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเองทั้งครูและนักเรียนต่างก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า "คนสอบตกไม่ต้องยืน..คนสอบตกไม่พักยืน"....+++...เมื่อคราวเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ คุณครูเรียกประชุมนักเรียนในตอนเย็น คุณครูเปลื้อง ช่วยไล่ เล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นให้นักเรียนฟังว่า "นักศึกษาที่มาเดินขบวน ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก เขาขึ้นเฮลอคอบเตอร์ แล้วยิงลงมา เปรียบเหมือนเอาบุหรี่จี้ลงไปบนกองมดคัน" ผมยังจำคำเล่าของครูไม่เคยลืม เมื่อไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี ๒๕๓๕ ผมกำลังเตรียมตัวสอบเป็นผู้พิพากษา ก็ยังได้ไปร่วมเดินขบวน ทั้งกลางวันและกลางคืน ในปีนี้พี่น้องมวลมหาประชาชน ชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปประเทศ ก็ยังต้องไปร่วมชุมนุมอยู่หลายครั้ง แต่เนื่องจากอายุของผมเริ่มมากขึ้น ความอดทนแดดลมไม่เหมือนเดิม ร่วมชุมนุมได้ไม่เกิน ๓ ชั่วโมง ก็ต้องกลับ แต่ต้องชื่นชมในความมีน้ำอดน้ำทนของผู้ชุมนุม ต้องตากแดดตากฝนนับครั้งนับคืนไม่ถ้วนก็ไม่ย่อท้อ นี่ลมหนาวมาแล้ว คงลำบากกันอีกมากทีเดียว ประเทศเรานั้น ผมเห็นว่า หากนักการเมืองทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับตำบล ไม่ทุจริตเสียอย่างเดียว ประเทศชาติก็จะมีความเจริญ ประชาชนก็ร่มเย็นเป็นสุข แต่ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นักการเมืองทุจริตกันมากจริงๆ จนประเทศชาติจะล่มจมอยู่แล้ว ก็ยังไม่เลิกโกงบ้านกินเมือง กินเปอร์เซนยังไม่พอ ที่หนักที่สุดคือการทุจริตเชิงนโยบายครบวงจร น่าหนักใจมาก ผมได้แต่หวังว่าการชุมนุมครั้งนี้ จะสามารถถอนรากถอนโคนการทุจริตลงได้ พวกเราศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่เป็นคนใต้ ได้ร่วมกันสนับสนุนกันมากทีเดียว จนเปิดห้องพักให้ชาวใต้บางส่วนได้พักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ๆ ถนนราชดำเนิน

     ที่โรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์)นี้ มีวิชาหนึ่งที่ในสมัยนี้คงจะไม่มีโรงเรียนใดสอนกันแล้ว นั่นคือ "วิชาขับร้อง" วิชาขับร้องเป็นวิชาที่สอนเสริมสอนแทรก เพื่อให้นักเรียนแสดงความสามารถในการร้องเพลง ให้ร้องเพลงหน้าชั้นเรียน แล้วครูก็ให้คะแนน โดยที่ไม่ต้องสอนวิธีการออกเสียง เปล่งเสียงให้ยุ่งยาก ชั้นเรียนของผมมีเพื่อนที่เป็นญาติคนหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการขับร้องมาก เขาคือ...."สมเกียรติ ผ่องศรี" หรือในนิกเนมว่า "ถก" เมื่อเวลาร้องเพลงสมเกียรติมิเพียงแต่ส่งเสียงร้องอย่างเสนาะเพราะพริ้งเท่านั้น เขายังมีท่าทางประกอบการร้องด้วย เพลงหนึ่งที่สมเกียรติร้องที่หน้าชั้นเรียน และผมยังจำเนื้อร้องได้มาบางตอน คือเพลงที่ขึ้นต้นว่า "เธอช่างสวย เธอช่างสาว เหมือนดาวผ่อง..." และต่อไปก็ถึงท่อนที่น่าจะเป็นสุดท้ายที่ว่า "พี่จะรัก น้องนุชสุดชีวิต เหมือนกามนิตรักวาสิฏฐี ไม่มีสอง เหมือนรจนาคู่หวังกับสังข์ทอง จะรักน้องเป็นที่สุดดุจดวงใจ" ...ในปี ๒๕๒๐ สมเกียรติ และผม รวมทั้งเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนของเราอีกหลายคน เรียนจบชั้น ป.๗ แล้ว สอบเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๑ ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ได้ ซึ่งนับว่าเป็นปีที่เด็กเชิงแสสอบเรียนต่อเข้ามหาวชิราวุธในเมืองสงขลาได้มากที่สุดปีหนึ่งทีเดียว จึงขอบันทึกชื่อไว้เป็นที่ระลึกถึง ดังนี้ .....สุชาติ ดำคลิ้ง สอบได้คะแนนดีมาก จึงได้เข้าเรียนในห้อง ๑ เรียนห้องเดียวกับ สุวิช ธรรมปาโล , โกสินทร์ ฤทธิรงค์ ซึ่งเป็นเด็กในเมือง...นอกจากนั้นเด็กเชิงแสที่สอบเข้าเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธได้อีกก็มี...พิท พัทบุรี , ไข่แดง หนูยี่ , ไสว แสงแก้ว ,จรัล ทองหยู ,สุภาพ มุสิกพงศ์ เป็นต้น....+++.....เพื่อนจากโรงเรียนวัดเชิงแสแทบทุกคนที่กล่าวถึงนั้น ยังพบปะกันอยู่แม้จะไม่เป็นประจำก็ตาม บ้างคนยังได้ไปร่วมงานแต่งงานของผม...และแทบทุกคนยังคงใช้ชื่อเดิมกันอยู่ จะยกเว้นก็เพียง "ไข่แดง" เท่านั้น ที่เมื่อเข้าเรียนในเมืองแล้ว ไข่แดง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัชระ หนูยี่".../

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๗ สิงห์บ้านนา เสือลาทุ่ง


บทที่ ๗ สิงห์บ้านนา เสือลาทุ่ง


     บ้านเชิงแสบ้านเกิดของผมนั้นตั้งอยู่ที่ตรงบริเวณชายขอบของเมืองสงขลา เป็นบริเวณใกล้เคียงกับเขตต่อแดนระหว่างสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช พื้นที่อย่างนี้เอื้ออำนวยเสียเหลือเกินกับการตั้งถิ่นของทุจริตชน ทั้งในลักษณะที่เป็นกลุ่มชุมโจรและโจรเดี่ยว ทั้งโจรทางน้ำในทะเลสาบสงขลา และโจรบนบกริมฝั่งทะเล การชุกชุมของพวกโจรเหล่านี้มีมานานแล้ว จนความทราบถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ จะเห็นได้จากเมื่อพระองค์เสด็จฯสงขลา เมื่อ ร.ศ.๑๐๘ (พ.ศ.๒๔๓๒)ก็มีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินตรวจราชการยังพื้นที่ต่างๆในท้องทะเลสาบสงขลา จนถึงเกาะสี่เกาะห้า และประทับแรมที่เกาะนั้น ก่อนที่จะเสด็จฯ ไปเมืองพัทลุง ปรากฏความในพระราชหัตถเลขาและจดหมายเหตุการเสด็จประพาสแหลมมลายู เกี่ยวกับบรรยากาศการรับเสด็จ พระราชกรณียกิจ และพระราชดำริเรื่องโจรผู้ร้ายในพื้นที่ลุ่มทะเลสาบสงขลา จากพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๓๒ และวันที่ ๒๙ มาสและศกเดียวกันว่า

     "เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศ ทอดปากอ่าวเมืองสงขลา....วันที่ ๒๑ กรกฎาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๐๘ ...วันที่ ๑๙ วันนี้เปนวันคลื่นลมอยู่ข้างเรียบราบกว่าทุกวันตั้งแต่มา เปนแต่เวลาเช้ามีเล็กน้อย เวลาบ่าย ๒ โมงตรง แหลมตลุมพุก หยุดขึ้นดูแหลมตลุมพุกเปนหาดทรายแคบนิดเดียว มีเรือนประมาณ ๗๐ หลัง ปลูกต้นมพร้าวมาก...เวลา ๘ ทุ่มถึงเมืองสงขลา...วันที่ ๒๐ พอรุ่งสว่างเลื่อนเรือไปจอดที่ พระยาสุนทรานุรักษ์ (ชม ณ สงขลา ,ต่อมาได้เป็นพระยาวิเชียรคิรี)นำแผนที่ทเลสาบลงมา คิดกะการท่ีจะไปเมืองพัทลุง เวลาบ่ายขึ้นบก เขาทำพลับพลารับที่หน้าจวน กรมการแลภริยากรมการมาหา แล้วไปเที่ยวตามตลาด ตลอดจนถึงวัดมัชฌิมาวาส การที่เมืองสงขลาจัดตกแต่งบ้านเมืองเรียบร้อยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เขื่อนหน้าเมืองที่ชำรุดก็ซ่อมใหม่ตลอด ถนนดาดปูนใหม่กว้างขวางหมดจด...ซึ่งกำหนดว่าจะไปเมืองพัทลุงแต่สองคืนแต่ก่อนนั้น เปนอันไม่พอทีเดียว...".............+++++...ขบวนการเสด็จฯเริ่มออกจากเมืองสงขลาเมื่อวันที่ ๒๒ เวลาเช้า เมื่อขบวนถึงปากรอและปากพยูน ต่อมาจนเสด็จฯถึงเกาะสี่เกาะห้า ล้นเกล้าฯของชาวไทยมีพระราชหัตถเลขาว่า..."คลองปากรอนั้นมิใช่เล็ก ถ้าจะเรียกว่าแม่น้ำก็ได้ กว้างกว่าคลองเกร็จมาก...ปากพยูนซึ่งเป็นช่องจะออกที่กว้าง มีบ้านเรือนหลายสิบหลัง ต้นไม้แลภูมที่งามนัก...ตั้งแต่เมืองสงขลาขึ้นมาจนถึงปากพยูน มีเสารั้วโพงพางและยกยอตลอดระทางไป ไม่ได้ขาดเลย เพราะในตอนนี้ปลาชุม พอขึ้นไปถึงกลางเกาะปราบบ่ายหัวเรือขึ้นเหนือ จะไปตามน่าเกาะรังนก ลมพัดโต้น่าจัด น้ำก็ตื้น ...เวลาค่ำจึงได้ถึง ที่ซึ่งปลูกพลับพลานี้ เรียกว่า "น่าเทวดา" คือเปนที่ศาลสำหรับพวกรังนกไหว้เจ้าก่อนที่จะลงมือทำรังนก...วันที่ ๒๔ ได้จารึกอักษร จ.ป.ร. และศักราช ๑๐๘ ไว้ที่หน้าเพิงศาลเทวดา...วันที่ ๒๕ เวลาเช้าหนึ่งออกเรือไปพัทลุง...วันที ๒๗ เวลาเช้าสองโมง ๔๕ ออกจากเมืองพัทลุงมาที่พลับพลาเกาะมวยเร็วกว่าเมื่อขาไป ๑๕ มินิต พอมาถึงก็มีพายุจัด ภายหลังเป็นฝนตกพรำไปจนค่ำ ไม่ได้ไปไหนและไม่ได้ทำอะไร จึงจะขอพูดถึงทเลสาบ...ทเลสาบนี้มีที่กว้างเปนสามลอน ลอนต้นอยู่กลางเมืองสงขลา...เกาะในทะเลลอนที่สองนี้ บันดาเกาะใหญ่ๆ ตั้งแต่ปากช่องคลองปากรอออกไปเจ็ดเกาะ ๆ เล็กสามเกาะไม่มีประโยชน์อันใด ตกเปนของเมืองพัทลุง แต่เกาะเล็กๆที่มีรังนก เรียกว่าเกาะสี่เกาะห้า รายอยู่ตามน่าเกาะใหญ่ของพัทลุงสิบเอ็ดเกาะ มีรังนกอยู่หกเกาะ กับเกาะหว่างช่องที่จะออกไปทเลลอนที่สาม ซึ่งน่าจะเปนของเมืองพัทลุงด้วยนั้น กลับเปนของเมืองสงขลา...ในทเลตอนที่สาม ตั้งแต่ทิศใต้โอบไปจนทิศตวันตกครึ่งทเล เปนแขวงเมืองพัทลุง ตั้งแต่ทิศตวันตกครึ่งทเล โอบไปจนทิศเหนือเปนแขวงเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตวันออกเปนแขวงเมืองสงขลา ในที่ทเลต่อแดนกันนี้ ว่าผู้ร้ายชุมอย่างยิ่ง...ด้วยเปนปลายแดน การติดตามผู้ร้ายยากลำบากอย่างยิ่ง..."

    (พ.ศ.๒๔๔๘:ชาวเมืองสงขลารอรับเสด็จ               (พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จ
รัชกาลที่ ๕ อยู่ที่ประตูเมืองริมทะเลสาบสงขลา)                พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

     เกาะสี่เกาะห้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินถึง และประทับแรมด้วยพระมหากรุณาธิคุณอยู่หลายราตรีนั้น เมื่อผมอายุได้สิบสามปีผมและญาติหลายคนมีโอกาสได้ตามรอยเสด็จฯ ไปยังเกาะสี่เกาะห้า โดยเรืองหางยาง ทะเลบริเวณนั้นน้ำไม่ลึก มองเห็นสาหร่ายเรี่ยไหวอยู่ที่ใต้ผิวน้ำ ทะเลสาบสงขลาส่วนนี้คนเชิงแสบ้านผมเรียกว่า "เลหัวนอน" เพราะอยู่ทางด้านทิศใต้ของตำบลบ้านผม เลหัวนอนแถบนี้เป็นที่ที่ท้องทะเลและหมู่เกาะงดงาม ตลอดจนถ้ำรังนกน่าชมน่าพิศวงอยู่มากมาก แต่ต้องยอมรับว่า "ผลประโยชน์และราคาของรังนก" เจ้าของสัมปทานได้มอบความตายอย่างเหี้ยมโหดให้กลุ่มผู้ที่บุกรุกเข้าไปขโมยรังนกอยู่เสมอ...เกาะสี่เกาะห้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ไปประทับแรม และมีพระราชหัตถเลขาไว้นั้น ขอนำพระราชหัตเลขามาลงพิมพ์ให้อ่านกันในรายละเอียด ดังนี้ครับ.....


(พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาพนี้ไม่ปรากฏชื่อผู้วาด ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท)



      


(พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการเสด็จประพาสเมืองสงขลา เมืองพัทลุง และทะเลสาบสงขลา)


(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเมืองสงขลาที่ศาลาว่าการมณฑลนครศรีธรรมราช ณ เมืองสงขลาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙)
(รอชม...ภาพต้นเลียบหัวโจร ที่ผมเคยเล่าไว้ในบทที่ ๑)

(ต้นเลียบใหญ่ทางทิศเหนือของบ้านเชิงแส ซึ่งโจรถูกตัดคอและนำหัวมาเสียบไว้ที่นี่ ปัจจุบันต้นเลียบใหญ่ต้นนั้นน่าจะล้มตายไปแล้ว แต่หน่อพันธ์ุยังคงมีอยู่ จึงเกิดเป็นเลียบต้นใหม่ที่บริเวณเดิม...บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทางเดินใต้ต้นเลียบที่เคยเป็นทางดินมืดคลึ้มน่ากลัวมาก เด็กเลี้ยงวัวอย่างผมและเพื่อนๆ หากมีเพียง ๓ คน ไม่กล้าเดินผ่าน ก็เปลี่ยนเป็นถนนซีเมนต์ที่กว้างพอที่รถยนต์จะแล่นผ่านได้ ใต้ต้นเลียบที่เคยเป็นสุมทุมพุ่มไม้ป่า ดูจะหายไปมาก ก็คงเหลือแต่ความทรงจำเป็นตำนานให้ได้เล่าขานถึงความกล้าหาญของชาวบ้านเชิงแสและวีรกรรมของก๋งสุย)

     (เนื่องจาก..ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ อยู่ในระหว่างการตรวจข้อสอบคัดเลือกเนติบัณฑิตเพื่อเป็นผู้พิพากษา เด็กเชิงแสอย่างผมจึงของดเล่าเรื่องบ้านเชิงแสไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว...เสร็จจากงานราชการตรวจข้อสอบแล้วค่อยมาเล่าให้ฟังกันต่อ..ระหว่างนี้ขอเชิญทุกท่าน "นั่งแพงเชิง" ร่วมวงพักกิน "หนมลูกโหนด" ไปพลางๆ ก่อน..แต่ให้ระวังสำหรับท่านที่ท้องว่างหากกินมาก..จะเสียดพุง)

     (ภาพขนม ๒ ภาพ)




     (..ขนมลูกโหนด..เป็นขนมไทยบ้านทุ่งประจำถิ่นที่นับว่าเป็นขนมสุดยอดความอร่อยของชาวเชิงแส แม่ทำให้กินแทบทุกครั้งที่อยากกิน /.วิธีทำ./.ขนมชนิดนี้ต้องทำน้ำขนมก่อน โดยคั้นกะทิใส่หม้อไว้ ตวงน้ำตาลโตนดใหม่ใส่ผสมลงไป ก็จะได้น้ำขนมหอม ชิมแล้วใส่เกลือเม็ด ใช้ทัพพีคนให้เสียงดัง "ครก เคร็ก ๆ ๆ" เมื่อแม่ใช้ช้อนเล็กตักชิมอีกครั้ง ผมก็ขอแม่ชิมด้วย ได้น้ำขนมกลมกล่อมแล้วพักไว้ แทลูกตาลสดเนื้ออ่อนๆ ออกจาก "หมรง" ใส่กะละมังใบเล็ก จากนั้นเอามาแกะเปลือกที่เรียกว่า "เจียะ" ออก แล้วใช้มีดบางตัดลูกตาลใส่ลงไปในน้ำขนมทันที จนพอดีกับน้ำขนม เป็นอันเสร็จ..ดูทำง่ายๆ แต่จะให้อร่อยก็ต้องฝีมือแม่..และถ้าจะให้ได้บรรยากาศก็ต้องทำกินกันตอนเที่ยง ๆ ที่ใต้ต้นตาลในทุ่งนา กินเสร็จแล้วหาร่มตาลเหมาะ ๆ นอนเอาหมวกปีกสานปิดหน้า ฟังเสียงลมพัดใบตาลเพลินๆจนหลับสักงีบ..ก็นับว่าเป็นความสุดที่น่าจะย้อนเวลาไปถวิลหา..+++...ในภาพผมทำเองที่บ้าน จำสูตรของแม่มาทำ โดยซื้อลูกตาลมาจากตลาด อ ต ก. ที่สวนจตุจักร น้ำขนมนั้นได้น้ำตาลมะพร้าวปึกของสมุทรสาครแทน "น้ำผึ้งโหนด" ของน้าจิตบ้านเชิงแส ชิมแล้วอร่อยดีครับ..ผมแปลงเพิ่มสูตรเข้าไปเล็กน้อย โดยการผสมลอดช่องลงไปด้วย ปรากฏว่าสีสวยดี แต่รสชาติไม่ค่อยเข้ากัน..นำภาพมาลงหน้าตาของหนมลูกโหนดสูตรกรุงเทพฯ ..ให้ชมกัน..)

     (...ผมมีเวลามีวันหยุดช่วงเข้าพรรษาอยู่ ๒ วัน จึงนำเรื่อง "สวนพระเทศฯ" และ "สวนเถ้าแก้" ที่เมืองสงขลา มาเขียนลงในบทที่ ๖ ทำบุญไหว้พระแล้ว หากสนใจเรื่องเกี่ยวกับ "บ้านเกิด ถิ่นเก่า บ้านเราสงขลา" ก็ตามอ่านได้ที่ช่วงท้าย ๆ ของบทที่ ๖...เนื้อหาของเรื่องสวนพระเทศฯ นั้นเขีียนไว้ค่อนข้างยาว สวนอีกสวนหนึ่งเขียนเพิ่มไว้ไม่มาก เพราะชื่อเจ้าของสวนบังคับไม่ให้เขียนยาว...เจ้าของสวนชื่อว่า "ยกสั้น")

     ได้เวลาต่อบทนี้เสียที่.....+++++.....ชาวบ้านเชิงแสนั้นนอกจากจะต้อต่อสู้กับความลำบากยากจนเช่นเดียวกับชาวนาทุกครอบทุกครัวที่บ้านอื่นภาคอื่นแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ชาวบ้านเชิงแสยังจะต้องต่อสู้กับ "โจรภัย" ที่มีมากในลุ่มทะเลสาบสงขลา เช่นดังที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีพระราชหัตถเลขาไว้...คราวคราใดที่ชาวบ้านเชิงแสชนะโจรได้ อย่างเช่นเรื่องของก๋งสุยวีรบุรุษแห่งบ้านเชิงแส ก็ปลอดภัยหายใจโล่งอกกันไปคราวหนึ่ง แต่หากถึงคราวที่ต้องแพ้โจรแล้ว ก็แทบจะหมดเนื้อหมดตัวเหมือนกัน ชาวเชิงแสทุกบ้านเรือนจึงมีวิธีการต่อสู้กับเหล่าโจรร้ายที่มาปล้นบ้านทั้งที่เหมือนกันและต่างกัน ที่เหมือนกันก็คือ ทุกกลุ่มบ้านจะปลูกไม้ไผ่สีสุกไว้เป็นแนวรั้วแน่นหนามาก แนวรั้วต้นไผ่นี้ปลูกไว้ที่เขตบ้าน จึงเรียกว่า "ชายดม" คำว่า "ดม" นี้ภาษาใต้ลุ่มทะเลสาบสงขลา แปลว่า รั้ว ที่ชายดมชายรั้วนี้เป็นที่ปลูกไม้ไผ่สมทบเข้าไปให้แน่นหนา นอกจากจะปลูกไม้มีหนามอย่างไผ่แล้ว บ้างบ้านก็มี "หนุมซอ" "ชายโขะ" และ "เพดาด" ปลูกไว้ด้วย เป็นไม้ "ชายดม" คำว่า "ดม" นี้ เป็นคำเก่าในภาษาใต้ ผมได้ความรู้มาจากท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา ว่า คำว่า "ดม" นั้น แปลว่า "รั้ว"....ไม้ไผ่ชายดมเช่นนี้มีทุกบ้านทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านกลุ่มที่เรียกว่า "หยอมบ้าน" เป็นต้นว่า บ้านนอกหน้าวัดกลาง บ้านลุงแมว ถัดมาบ้านครูแอบ ศิริรักษ์ ถ้าใกล้วัดเอกก็บ้านลุงหิ้นป้าพิน รัตนสุวรรณ บ้านลุงพรั่ง ตั้นซ้าย ใกล้บ้านผมเข้ามานั้นบ้านลุงเห้ง จีระโร ที่บ้านนี้ไม้ไผ่แน่นหนามากจริงๆ...ส่วนที่บ้านเดิมของก๋งสุยนั้นมีต้นหนุมซอแน่นมากขึ้นอยู่ริมทางด้านทิศตะวันออกของตัวบ้าน เป็นแนวไปทางทิศเหนือ บ้านก๋งสุยนี้ต่อมาขยายเป็นหย่อมบ้านหลายหลัง มีบ้านก๋งห้อง รัตนสุวรรณ ลูกชายก๋งสุยเป็นหลังใหญ่ ถัดไปทางเหนือรั้วชายดมติดกันเป็นบ้านของป้ากลิ่น...ทุกบ้านล้วนมี "ชายดม" เป็นเครื่องป้องภัยโจรทั้งสิ้น.....+++...หย่อมบ้านของแม่เรียกว่า "บ้านใหญ่" มีบ้านหลายหลังติดกัน จนกล่าวกันว่าบ้านใหญ่เชิงแสแมวเดินบนหลังคาได้ไกลๆ ไม่ต้องลงดิน บ้านของแม่จัดว่าปลูกอยู่โดยมีบ้านเพื่อนบ้านล้อม ...แต่ความจริงแล้วด้านทิศตะวันออกของบ้านแม่ติดทางสาธารณะ ที่มีความกว้างขนาด "เรือบรรทุกข้าวบั้นหนึ่ง" เข้าถึงบ้านแม่ได้ ทางนี้ตรงไปทางทิศใต้ผ่านบ้านป้าฉีดจนถึง "ทางรง" คำว่า "ทางรง" กลางบ้าน ทางรงนี้บางหมู่บ้านเรียกว่า "หว่างรง" คำนี้เป็นคำใต้โบราณ แปลว่า ทางระหว่างบ้านระหว่างสวน จุดที่ทางจากบ้านแม่จด"ทางรง" เป็นบ้านของก๋งเคว็ด ฉันทอุไร...../

(ภาพของต้นหลุมซอไม้ที่มีหนามคมมาก และขณะนี้ถือว่าเป็นไม้หายากชนิดหนึ่ง... แต่เดิมนั้นที่บ้านเชิงแสมีหลายบ้านได้อาศัยหลุมซอเป็นไม้ชายดมชั้นดี...ผมมีโอกาสหามาได้ต้นหนึ่งจึงนำมาปลูกที่กรุงเทพฯ กลายเป็นว่าปลูกมา ๕ ปี แล้วโตเท่าที่เห็น และมีทีท่าว่าไม่อยากจะโตแล้ว ดูใบเหลืองให้ใจหายทีเดียว ไม้ชนิดนี้เป็นไม้ชอบน้ำ และคงจะขึ้นดีที่เชิงแส เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่หลุมซอต้นนี้โตเร็วมาก มีใบประมาณ ๖๐ ใบ ผมคิดว่าจะได้เห็นดอกเห็นลูกแน่นอน ที่ไหนได้พอน้ำลดใบก็ลด...เหลืออยู่เท่าที่เห็น ผมเคยบอกลูกเป็นคำกลอนว่า ...+++..."หนุมซอไม้หนามมีที่พ่อปลูก เพื่อให้ลูกได้เห็นเป็นอนุสรณ์ ถึงประวัติและบ้านเดิมของบิดร จากสงขลาเมืองนอนเข้าสู่กรุง...เป็นเด็กวัดอยู่ขรัวจารย์สมภารเจ้า ตั้งบาตรข้าวจัดแจงวางแกงถุง ได้หมู่สงฆ์ใหญ่น้อยคอยพยุง ครบสี่ปีสมมุ่งปริญญา...ด้วยอิทธิบาทธรรมที่ตั้งไว้ ในวิชากฎหมายอันสูงค่า จึงส่งพ่อสู่สุดแห่งวิชชา ได้เป็นผู้พิพากษาตุลาการ...หนุมซอไม้หนามมีที่พ่อปลูก ดุจสิ่งผูกพันใจถิ่นสถาน ให้ย้อนไปในวัยเยาว์เคยสำราญ ณ ปากบางเชิงแสบ้านแม่เอย...ฯ")
     ในตอนกลางคืนทุกประตู "ทางรง" ในบ้านเชิงแสไม่ว่าจะเป็น ประตูท่ี่บ้านใหญ่ ประตูสระโพธิ์ หรือประตูวัดกลาง จะถูกปิดแน่นหนาด้วย "หลอดคอก" ไม้เนื้อแข็ง และท่อนไม้ไผ่สีสุกลำใหญ่ๆ รวมทั้งจะนำหนามไม้ไผ่สุมทับเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เห็นแล้วให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยพอสมควร นั่นคือประตูหมู่บ้าน ส่วนบ้านที่อยู่ด้านริมเช่นบ้านของลุงแมวหน้าวัดกลาง บ้านลุงเห้ง บ้านลุงอิ่ม บ้านก๋งถัด ก็จะปิดประตูบ้านของตนด้วยความแน่นหนาลักษณะเดียวกัน....ยิ่งกว่านั้น ชาวเชิงแสยังมีวิชาป้องกันตนเองในลักษณะของ "คาถา อาคม" ที่สอนสืบทอดกันมา ควบคู่กับการใช้ของขลังป้องกันตัวที่สำคัญ คือ "ผ้ายันต์ นะคาบสมุทร ของ พ่อท่านทองมาก" ดังที่ผมได้เล่าไว้ในบทก่อนๆ แล้วว่า ที่วัดเชิงแสใต้ หรือวัดเชิงแสหัวนอนนั้น มีพระเจ้าอาวาสที่ศักดิ์สิทธิ์มากหลายท่าน เริ่มจากพ่อท่านทองมาก หรือ พ่อท่านเฒ่า ซึ่งต่อมาท่านได้เป็น "พระครูธรรมเจดีย์ศรีสังวร" ยันต์ของพ่อท่านทองมากคุ้มครองชาวเชิงแสมาตลอด ชาวเชิงแสนั้นมีธรรมเนียมเกี่ยวกับผ้ายันต์อยู่อย่างหนึ่ง คือ แทบทุกบ้านจะปิดผ้ายันต์ไว้ที่ "แปทู" กลางตัวบ้าน คงให้ผ้ายันต์คุ้มครองบ้านเรือนและบุคคลภายในบ้านประมาณนั้น ผ้ายันต์ของพ่อท่านทองมากแห่งวัดเชิงแสใต้ ระยะหลังนี้ไม่ค่อยจะมีใครเห็น จนกระทั่งเกิดนิมิตขึ้นแก่พระครูบรรหารศาสนกิจ(พ่อท่านพลับ)วัดระโนด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านทองมาก พ่อท่านพลับจึงได้เขียนยันต์นี้ขึ้นเป็นคาถา ว่า "นะกุย นะคาบ หยุดฝั่งอยู่ฝั่งคงคา นะคาบสมุทร นะคาบนิพพาน นะคาบ นะสูตร" พ่อของผมก็มีคาถาประจำตัวหลายบท เช่น "ฤ พุทธศูนย์ ฤา พุทธศาสน์" เป็นต้น คาถาอาคมเหล่านี้บ้างก็ให้พระเขียนใส่ผ้ายันต์ให้ บ้างก็ให้พระสอนให้และท่องจำกันมา ถือเป็นเครื่องป้องกันตัวป้องกันภัย

     กลุ่มพวกโจรที่มาปล้นบ้านเชิงแสนั้นเดิมมุ่งมาปล้นเงินปล้นทอง จนคุณทวดคุณย่าคุณยายบางท่านที่มีฐานะหวาดระแวงมาก เมื่อทราบข่าวว่าจะถูกโจรปล้น ก็หาวิธีเอาตัวรอดโดยเก็บเงินทองใส่ห่อมัดติดตัว แล้วไปอาศัยนอนที่บ้านญาติหรือบ้านเพื่อนบ้าน หมุนเวียนกันไปจนปลอดภัยหรือข่าวที่จะถูกปล้นซาเงียบลง แต่ระยะหลังเมื่อชาวเชิงแสเริ่มมีอาวุธปืน การขึ้นปล้นบนบ้านย่อมไม่ปลอดภัยแก่พวกโจร โจรจึงเปลี่ยนวิธีเป็นปล้นวัวใต้ถุนบ้านแทน อันที่จริงจะเรียกว่าปล้นก็ไม่เชิงนัก เรียกว่าลักน่าจะถูกต้องกว่า เพราะจะย่องเข้ามาเงียบๆ แต่ถ้าเจ้าทรัพย์เริ่มรู้ตัว โจรเหล่านี้ก็จะ "ยกระดับ" การทำชั่ว จากแค่เพียง "ลัก" ก็เพิ่มขึ้นเป็น "ชิง" และ "ปล้น" การลักวัวนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ลักเอาไปใช้ไถนา หรือลักเอาไปฆ่าไปแกง แต่เป็นการลักไปเรียกค่าไถ่ คือเมื่ิอวัวถูกลักไปแล้ว เจ้าของวัวจะรวมพวกกันประมาณสี่ห้าคนออก "ตามวัว" ไปที่หมู่บ้านที่คาดหมายว่าชุมโจรอยู่ที่นั่น การตามวัวนี้ตามกันไปหลายวัน นับว่าเป็นวัฒนธรรมความสามัคคีอย่างหนึ่ง เมื่อไปถึงหมู่บ้านที่ตั้งชุมโจร คณะตามวัวจะไปที่บ้านของผู้มีบารมีในหมู่บ้านนั้น คนที่มีบารมีระดับนี้จะมีพวกมาก เรียกกันว่า "คนใหญ่" คณะตามวัวก็จะพักที่บ้านของคนใหญ่ ประมาณวันสองวันหากโจรที่ละแวกบ้านคนใหญ่เป็นผู้ลัก คนใหญ่ก็จะบอกคณะผู้ตามวัวว่า โจรเสนอราคาค่าไถ่เป็นเงินเท่าไร? เมื่อทราบแล้วคณะผู้ตามวัวก็อาจจะต่อรองราคาค่าไถ่วัวคืน เมื่อตกลงค่าไถ่วัวได้แล้ว ประมาณวันสองวันก็มอบเงินไว้กับคนใหญ่ วันรุ่งขึ้นก็จะได้รับวัวคืน หากเงินค่าไถ่ไม่พออาจจะตกลงให้วัวแก่โจรไปบางตัวก็ได้ ...เรื่องอย่างนี้จะไม่มีการแจ้งความกัน...ถือกันเป็นธรรมเนียมโจร...อย่างไรก็ตามโจรก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะในเวลาเข้ามาลักวัวแล้วพลาดท่าเสียทีถูกไล่ตามทัน ก็หมายถึงต้องตายเป็นผีเฝ้าทุ่งเชิงแสได้เช่นกัน....เหมือนเรื่อง "เลียบหัวโจร" และเรื่ิิิองที่ผมจะเล่าต่อไป.....๐๐๐๐๐๐... .....................................................................................................................................................................++++++++++...... เรื่องราวการต่อสู้ของก๋งสุยนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ฮือฮาหวาดเสียวและกล่าวถึงกันมาก ถ้าจะเทียบกับสมัยนี้น่าจะประมาณเรื่องของ "ฮีโร่ป๊อบคอร์น" อย่างนั้นแหละ เรื่อง "ฮีโร่ก๋งสุย" หวาดเสียวกว่ามาก เรื่องเริ่มจากว่า...ที่บ้านเชิงแสมีคุณทวดหญิงคนหนึ่งท่านเป็นคนมีฐานะดี คุณทวดหญิงแห่งบ้านเชิงแสท่านนี้ชื่อว่าอะไรผมจำไม่ได้ แต่ท่านเป็นแม่ของย่าดำภรรยาก๋งเหี้ยง ต่อมากลุ่มโจรจากทะเลน้อยทราบเรื่องนี้เข้า จึงรวบรวมพรรคพวกกันมาที่บ้านเชิงแส ไม่ได้มาทำบุญที่วัดเอก หรือวัดกลาง หรือวัดหัวนอน นะครับ คนชั่วๆ เหล่านี้ทำความดีไม่เป็น เรียกว่ารอยหยักของสมองมีเรื่องความดีอยู่น้อย ที่ยกพวกกันมาบ้านเชิงแสนั้นก็เพื่อจะมาปล้นทวดหญิงแม่ของย่าดำ บ้านของทวดแม่ย่าดำอยู่ติดกับบ้านก๋งสุย คืนนั้น พวกโจรขึ้นบ้านก๋งสุยก่อน เมื่อเห็นก๋งสุยนอนอยู่ก็ใช้ "ปืนลูกนาค" ยิงก๋งสุย แต่กระสุนปืนไม่เข้า ก๋งสุยหาเป็นอันตรายไม่ ก๋งสุยจึงคว้าดาบสู้กับกลุ่มโจร ผลปรากฏว่า โจรตาย ๑ คน ที่เหลือต่างพากันวิ่งหลบหนีไป ชาวบ้านมามุงดูโจรที่ตายแล้วได้เห็นภาพก๋งสุยใช้ดาบตัดอวัยวะเพศของโจร ไข่โจรที่ก๋งสุยตัดมานี้ ชาวบ้านเชิงแสนำไปปิ้งที่กลุ่มกอไผ่ข้าง "หลาทวด" กอไผ่กลุ่มนั้นจึงถูกเรียกว่า "กออี้ปิ้ง" มาตลอด เมื่อผมเป็นเด็ก ยายของผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังหลายครั้ง เพราะเป็นตำนานการต่อสู้ของคนบ้านเชิงแส เมื่อปิ้งไข่โจรแล้ว ชาวบ้านเชิงแสก็กลับมาตัดหัวโจรนำไป "ค้าง" ไว้ที่ต้นเลียบใหญ่ ด้านทิศเหนือของหมู่บ้านใกล้ๆบ้านโคกพระ และใกล้กับที่ฝังศพก๋งซุนเฮาะของผม ต้นเลียบที่นำหัวโจรไปค้างไว้นี้ เรียกว่า "เลียบหัวโจร" ซึ่งผมได้ถ่ายภาพมาให้ชมกัน สำหรับลำตัวแขนขาของโจร ชาวเชิงแสก็ไม่ได้นำไปเผาให้เปลืองไม้ฟืน แต่นำไปขึ้น "ขาหย่าง" ไว้ที่ต้นเลียบอีกต้นหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของสระโพธิ์ เรียกต้นเลียบต้นนี้ว่า "เลียบขาหยั่ง" ขณะนี้เลียบขาหยั่งตายไปแล้ว กออีปิ้งบางคนก็บุกรุกที่ดินบริเวณนี้นำไปออกโฉนดเป็นสมบัติส่วนตัวเสียแล้ว จึงเหลืออยู่แต่เพียง เลียบหัวโจร ซึ่งก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานกี่ปี คนเชิงแสในปัจจุบันบางคน อาจจะนำไปออกโฉนดฮุบเป็นสมบัติส่วนตัวอีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ..."สังคมไทยในทุกวันนี้" เมื่อคำนึงครุ่นคิดถึงความเสียสละของคนรุ่นเก่า แล้วมาเปรียบเทียบกับความเห็นแก่ตัวของคนไทยในสมัยปัจจุบันแล้ว ได้แต่วังเวงใจจริงๆครับ ประเทศไทยเราจึงได้รับเกียรติ ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการคอรัปชันมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก...ก๋งสุย,วีรบุรุษของชาวเชิงแส สร้างวีรกรรมรักษาชุมชนหมู่บ้านไว้ได้ ให้บ้านเชิงแสปลอดภัยจากโจรต่างถิ่น ผมก็ได้แต่หวังว่าลูกหลานของชาวเชิงแสในปัจจุบันจะได้นำความดีของท่านมาเป็นแบบอย่าง แบบอย่างของการเสียสละอย่างนี้จะต้องมีอยู่อย่างสม่ำเสมอสังคมไทยเราจึงจะอยู่ได้ สังคมชุมชนบ้านเชิงแสก็เช่นเดียวกันจะอยู่ได้ต้องไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่เบียดเบียนที่ดินส่วนรวม ให้เหลือไว้เป็นตำนานสำหรับลูกหลานจะได้เล่าขานกันต่อไปอย่าให้รู้จบรู้สิ้น....+++.. ก๋งสุย เป็นเตี่ยของก๋งห้อง และเป็นโยมปู่ของพระราชปริยัติโกศล (เสถียร ฉันทโก,ป.ธ.๙,เจ้าอาวาสวัดใหม่พิเรนทร์ โพธิ์สามต้น กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลชาวเชิงแสเพียงท่านเดียวที่เป็นพระเถระในระดับเปรียญธรรม ๙ ประโยค ในยุคร่วมสมัย ต้องกล่าวว่าท่านเจ้าคุณเป็นพระผู้มีคุณูปการอย่างล้นเหลือต่อบ้านเชิงแสและต่อชาวเชิงแสในปัจจุบัน อันไม่ต่างจากโยมปู่ของท่าน ...ซึ่งผมจะได้เล่าให้ฟังต่อไป......๐๐๐๐๐๐๐................................................................................................................................++++++....... ในกิจกรรมทางความยุติธรรมของฝ่ายศาลที่ผมทำงานอยู่ ครูบาอาจารย์ได้เล่าเกี่ยวกับโจรในทะเลสาบสงขลาไว้สองเรื่องราว คือ เรื่องของ "อีเสือจวน" และเรื่อง "การชันสูตรศพโจรที่ระโนด" กฎหมายเดิมนั้นกำหนดให้ผู้พิพากษามีหน้าที่ชันสูตรศพโจรที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญ ครั้งที่ท่านเดือน จิตรกร ผู้พิพากษานักเรียนนอก รับราชการที่ศาลจังหวัดสงขลา เกิดเหตุโจรปล้นเรือชาวบ้านในทะเลสาบที่ระโนด โจรถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย คณะของผู้พิพากษาจึงนั่งเรือไปชันสูตรศพโจร เม่ื่อใกล้ถึงที่ระโนดซึ่งบริเวณนั้นมีสาหร่ายในทะเลมาก สาหร่ายจึงพันเอาไปพัดเรือจนเครื่องจักรเสีย เรือไปไม่ถึงศพโจร ต้องลอยลำอยู่ในทะเลนานเป็นวัน กว่าจะมีคณะของทางฝ่ายระโนดนำเรือออกไปช่วย เรื่องครั้งนั้นจึงมีการกล่าวกันว่า "ต่อไปหากจะยิงโจรแล้ว ขอให้ยิงที่ใกล้ๆถนนหน่อย".......๐๐๐๐๐๐..................................................................................................................................++++++++............ เมื่อเสร็จสิ้นหน้านาสำหรับการเก็บเกี่ยวไม่นานนัก...โจรทางด้านบ้านต่างถิ่นเริ่มเคลื่อนไหว โดยเฉพาะขณะนี้ให้ปรากฏว่า ไอ้เน่า(ชื่อสมมุติ)กับพวกได้พ้นโทษออกจากคุกที่สงขลาแล้ว ไอ้เน่ายังไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง จึงวางแผนกับพวกอีกสี่คน ปล้นวัวของชาวบ้านโคกพระ ประมาณบ่ายสองโมงของเดือนวันเสาร์กลางมิถุนายน ปี ๒๕๑๙ ไอ้เน่ากับพวกพร้อมปืน เอ็ม ๑๖ เป็นอาวุธที่ครบมือ เข้าต้อนฝูงวัวของชาวบ้านโคกพระซึ่งเด็กๆกำลังเลี้ยงอยู่ที่กลางทุ่งด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เด็กหลายคนต่างวิ่งมาที่บ้านโคกพระและตะโกนบอกไปทั่วบ้าน "โจรอุกวัวแล้ว! โจรอุกเอาวััวไปแล้ว!"...ชาวบ้านโคกพระใจเด็ดเดี่ยวมาก รวมกลุ่มกันแล้ววิ่งไปแทบหมดหมู่บ้าน ไล่ไปทันโจรกลุ่มของไอ้เน่าที่บริเวณตะวันตกหนองตรุดห้างกลางทุ่ง ชาวบ้านโคกพระสกัดกลุ่มโจรไว้ไม่ยอมให้ต้อนวัวไปทางทิศตะวันออกอันเป็นบ้านของไอ้เน่ากับพวก แต่บังคับให้โจรต้อนวัวไปทางทิศใต้ ซึ่งท้องทุ่งเป็นแนวยาว ไอ้เน่าเริ่มเสียชัยภูมิ จึงยิงปืนดังไปทั่วทุ่ง ขณะนั้นผมกับพ่อนั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นโพธิ์เลที่สวนตีน ด้านทิศเหนือของหมู่บ้าน ได้ยินเสียงปืนเป็นชุดๆ อย่างชัดเจน ไม่นานนักญาติจากบ้านโคกพระวิ่งมาบอกข่าวพ่อ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า "จ้ายนำชาวบ้านสู้กับโจร"...พ่อถามว่า "เครื่องมือพวกเรามีกันไปครันไหม้?" ญาติบอกว่า ..."ไม่เท่าใด แต่คนเราลุย" คือตอบว่า ไม่มากนักแต่คนของฝ่ายเรามาก "ลุย" แปลว่า มีมาก .,เสียงปืนของฝ่ายโจรดังอยู่เป็นระยะๆ ชาวเชิงแสต่างก็ถามข่าวกันทั่ว ครั้นทราบว่าพี่น้องชาวโคกพระได้สกัดกลุ่มโจรไว้ บางคนก็ชวนพากันไปสมทบ...ภาพทุ่งนาปาซังข้าวเก็บเสร็จใหม่ๆยามนั้น นับว่าน่าตื่นเต้นมาก พี่น้องชาวโคกพระและกลุ่มโจรชิงไหวชิงพริบกัน โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน การสัปยุทธเริ่มถึงจุดหักเห เมื่อกลุ่มชาวบ้านยันโจรไว้ที่ทิศตะวันออกของหนองบ่อ ไม่ยอมให้โจรฝ่าขึ้นไปทางตะวันออก จนในที่สุดไอ้เน่าหัวหน้าโจรสั่งสมุนให้ทิ้งฝูงวัว และพากันไปทางทิศใต้จนถึงหนองนกพลัด ไอ้เน่าเลือดเข้าตา ระดมยิงปืนชุดใหญ่หมายฆ่าชาวโคกพระ ชาวบ้านโคกพระหลบลงตามคันนา และยิงปืนยาวโต้ตอบ ระหว่างนั้นสมุนโจรสองคนฝ่ากลุ่มชาวบ้านหลบหนีไปทางบ้านเจดีย์งาม ส่วนอีกคนหนึ่งทิ้งพวกหนีไปทางเขารัดปูน พี่จ้ายเห็นเข้าก็พาพวกสามคนไล่ตามไป จนทันกันที่ทิศตะวันตกของหนองพังกาน พี่จ้ายยิงโจรจนแน่นิ่งไป แต่! เมื่อเข้าไปดูที่จุดโจรถูกยิง ปรากฏว่าสมุนของไอ้เน่าถอดเสื้อคลุมตอไม้ไว้ หลอกให้ยิงเสื้อ โดยตนเองสามารถหลบหนีไปได้ ....ส่วนการต่อสู้กันระหว่างไอ้เน่าและพวกอีกหนึ่งคน กับกลุ่มชาวบ้านโคกพระ ผลปรากฏว่าพี่น้องชาวบ้านโคกพระชนะ ๒ - ๐ /....๐๐๐๐๐๐....................................................................................................................................+++++++....... ใกล้ค่ำแล้ว..."จ้าย ดุกลิ่ม" นำคณะหลายคนมาที่บ้านเชิงแส พี่จ้ายยืนเล่าเรื่องการยิงกับโจรให้ชาวบ้านฟังอย่างออกรสออกชาติมาก ผมยืนฟังอยู่ด้วย ขณะที่เล่าพี่จ้ายก็กางเสื้อตัวนั้นของโจรให้ชาวบ้านและผมดู .....เช้าวันอาทิตย์ชาวเชิงแสไปดูศพโจรกันที่กลางทุ่ง ผมก็ไปด้วย ศพไอ้่เน่านอนหงายอยู่ข้างคันนา มือสองข้างยกขึ้นเหลื่อมกัน ชาวบ้านพูดกันว่าเหมือนท่าจับปืน ไม่ไกลกันนัก โจรอีกศพหนึ่งนอนหงายตายอยู่ในนาห่างคันนาสักสิบเมตรประมาณนั้น ศพนี้ถูกยิงที่อก มีรอยกระสุนเป็นรูสองรอย เห็นได้ชัดมาก และมีมดหลายตัวมากินเลือดอยู่ที่รอยกระสุน พวกเราดูศพโจรกันอยู่นานเท่าใดจำไม่ได้ แต่เริ่มรู้สึกว่ามีคนมากขึ้น ...ทันใดนั้นพ่อก็เดินมาที่ผมและกลุ่มเด็กๆ พ่อบอกให้รีบกลับบ้านเสีย พ่อเกรงว่าเด็กๆ จะไม่ปลอดภัย เพราะกลุ่มคนที่มากันมากนั้น เป็นชาวบ้านของกลุ่มโจร พวกเขากำลังจะมาหามศพทั้งสองศพกลับบ้าน...+++...เหตุครั้งนี้แม้จะทำให้ชาวบ้านโคกพระและบ้านเชิงแสปลอดภัยจากโจร แต่พวกเราก็ต้องระวังตัวกันมาก กลัวโจรจะมายิงแก้แค้น...เช้าวันจันทร์เปิดเรียนแล้วเด็กๆก็ยังพูดกันถึงเรื่องชาวโคกพระสู้ชนะโจร "เกษม อินทร์ดำ" ลูกน้าเซี้ยนซึ่งเป็นเด็กบ้านโคกพระเพื่อนร่วมชั้นของผมเล่าว่า คนบ้านกลุ่มโจรจะแก้แค้น หากใครเป็นคนแปลกหน้าผ่านหมู่บ้านของเขา ก็จะถูกถามว่า "เป็นชาวบ้านโคกพระหรือไหม้?" เกษมได้ข่าวนี้มาจากใครผมไม่ทราบ ผมลืมถาม!;....หลังจากนั้นผมมีประสบการณ์รู้เห็นโจรปล้นบ้านเชิงแสอีกหลายครั้ง เช่น คืนหนึ่งที่โจรปล้นวัวบ้านลุงอิ่ม แล้วลุงแอบมาเรียกให้พ่อช่วย..."เพียร เพียร โจรอุกวัว" เสียงที่ลุงอิ่มเรียกพ่อครั้งนั้น ผมยังจำได้อยู่จนทุกวันนี้ เพราะขณะนั้นผมและพ่อนอนอยู่ที่ระเบียงบ้าน ทันที่ที่ได้ทราบว่าลุงอิ่มถูกโจรปล้น พ่อก็ตะโกนขึ้นว่า "หลักไว้! หลักไว้! วินหลักไว้ปละตีน" พ่อตะโกนยังไม่ทันขาดคำ โจรก็ยิงปืนขึ้นทันที กระเบื้องหลังคาบ้านลุงอิ่มร่วงกราว และโจรยิงอีกหลายชุด ไม่ให้เราสู้ ...คืนนั้นเราแพ้ โจรปล้นวัวของลุงอิ่มไปได้ ๒ ตัว...หลังจากโจรได้วัวไปแล้ว ทุกคนมารวมกลุ่มกันที่บ้านของผม พ่อถามว่า "โจรพาวัวไปทางไหน?" มีเสียงตอบว่า "พาไปทางสวนตีน แล้วเลี้ยวไปทางท่าออก ที่ตีนวัดเอก"...หลายคนปรึกษากันว่าตามไปแย่งวัวหรือไม่? และว่าน้าไหวมีปืน แต่เป็นปืนสั้น ส่วนน้าอีกคนมีปืนยาว ...ที่สำคัญ ข้อที่ปรึกษากันนั้น ได้ความเพิ่มเติมว่า การปล้นคืนนี้น่าจะมีชาวเชิงแสที่ชื่อว่า "....." เป็นนกต่อ เป็นสายให้คนบ้านอื่นปล้นคนบ้านตัวเอง ทุกคนเห็นร่วมกันว่า หากตามไปกลางคืนจะเกิดอันตรายมาก...เรื่องที่มี "นกต่อ" ครั้งนี้เป็นเรื่ิิองที่ยังจดจำกันอยู่จนถึงทุกวันนี้./

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๖ ไข่มดริ้น ธัญทิพย์มหัศจรรย์ นาแก้วข้าวขวัญแห่งเชิงแส


บทที่ ๖ "ไข่มดริ้น" ธัญทิพย์มหัศจรรย์ นาแก้วข้าวขวัญแห่งเชิงแส


...เรื่องราวของเชิงแสบ้านแม่บท "ข้าวไข่มดริ้นฯ" นี้มีผู้สนใจอ่านกันมาก จวบจนถึงวันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ มีผู้เข้าทุกบท ตั้งแต่ บทที่ ๑ "บ้านแม่" จนถึง บทที่ ๒๑ "อินทผลัม ที่ขนำปลายนา" มีผู้เข้าอ่านถึง ๒๓,๐๐๐ ครั้งแล้ว ซึ่งบางท่านก็ได้เห็นความเห็นมาพูดคุยกับผม ผมรู้สึกมีความยินดี และ ดีใจมาก เพราะเป็นการสื่อสองทางที่จะทำให้ผมได้ปรับปรุงงานเขียนได้ดียิ่งขึ้นครับ
...ข้อมูลของ blogger ที่แสดงให้ผมทราบนั้น ทำให้รู้ว่า ขณะนี้ในแต่ละวันมีผู้อ่านกี่ครั้ง.แต่ผมไม่ทราบเลยว่าเป็นใครบ้าง ถ้ามีการเขียนความเห็นมาท้ายบท ผมก็จะทราบรายละเอียดของผู้อ่าน ในบางบทผู้อ่านบางท่านก็เป็น ลูกของพี่น้องชาวเชิงแส.ในบางบทผู้อ่านก็เป็นหลานของชาวเชิงแส....บางบทก็เป็นผู้สนใจเรื่องราวชีวิตของชาวชนบทบ้านทุ่งริมทะเลสาบสงขลา...เรื่องที่ผมเขียนถึงแม่และชื่อของชาวเชิงแสหลายนี้ หลายท่านล่วงลับไปแล้ว...หากแม่และท่านที่จากไปแล้วได้ทราบด้วยวิถีใด น่าเชื่อว่าคงจะอิ่มเอมใจและมองจากสรวงสวรรค์ เห็นท้องทุ่งนาที่เชิงแสอย่างมีความสุข./

     ผมเริ่มต้นบทนี้ในวันพืชมงคลแห่งปี ปกติแล้วหน้าร้อนอย่างนี้แม้อากาศที่กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทิราฯ จะร้อนมาก แต่ที่ท้องสนามหลวงนั้น แทบจะทุกปี เมื่อถึงการพระราชพิธีพืชมงคลฝนจะโปรยปรายมาเสมอ มากบ้างน้อยบ้างแต่มักจะมีฝน อย่างไรก็ตามปีนี้ไม่ทราบว่ามีฝนโปรยในพระราชพิธีหรือไม่...เพราะผมติดธุระมีงานด่วนที่สำนักงานศาลยุติธรรม ถนนรัชดาภิเษก จึงไม่ได้เข้าไปที่ศาลฎีกา....ที่ตั้งใจเริ่มบทนี้เสียตอนสามทุ่มเนื่องจากเป็นวันสำคัญสำหรับชาวนาและเกษตรกรนั้นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคงเพราะคิดถึงบ้านมั้ง?...โดยเฉพาะคิดถึงข้าวไข่มดริ้นข้าวที่แม่ปลูกทุกปีมิได้ขาดเลย...หากจะเปรียบว่า "ข้าวสังหยุด" เป็นหญิงไทยใต้คมขำแห่งเมืองพัทลุงแล้ว ผมเห็นว่า "ข้าวไข่มดริ้น" หรือที่แม่และชาวเชิงแสเรียกว่า ข้าวไข่มด ก็เทียบได้กับสาวงามสายเลือดไทยจีนแห่งบ้านเชิงแสได้เช่นเดียวกัน ไข่มดริ้นข้าวพันธุ์นี้เป็นข้าวขาวเมล็ดข้าวสารยาวประมาณ ๙ มิลลิเมตร ข้าวหอมนุ่มละมุนลิ้น จัดว่าเป็นข้าวพันธุ์ดีเยี่ยมของเชิงแส........กล่าวถึงสาวงามชาวนาอย่างนี้แล้ว ก็ให้ได้ยินเสียงเพลง "น้องนางบ้านนา" ผลงานประพันธ์ของครูเพลง "ไพบูลย์ บุตรขัน" คีตกวีแห่งท้องทุ่งนาเมืองปทุมธานี แว่วผ่านปลายต้นโพธิ์เลริมรั้วบ้าน "ป้าช่อ" และผ่านแนวกอไผ่รั้วบ้านของ "ลุงแมว" หน้าวัดกลาง ...ฟังว่า...+++...โฉมเอ๋ยสอางค์แม่นางท้องทุ่ง...โสภายิ่งกว่านางกรุง หมายมุ่งชมโฉมน้องนาง...บ้านนาอย่างนี้น้องยังโสภีสล้าง ...เอมอิ่มปรางดั่งนางฟ้า ลอยมาอวดโฉมลาวัลย์...+++...สวยเอ๋ยรวงทองน่ามองลิบลิ่ว...เห็นแนวกอไผ่เป็นทิว ลิบลิ่วสดสีอำพัน...ใคร่จะป่าวร้องข้าวรวงสีทองใครปั้น...มือแม่นางบอบบางนั้น กำเคียวเกี่ยวข้าวในนา..."........

(รวงสีทองของข้าวไข่มดริ้น)
     พื้นที่ทุ่งนาเชิงแสแห่งนี้เป็นผืนดินที่นาอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ สังเกตจากคำว่า "แส" ที่แปลว่า "นา" ดังปรากฏจากแผนที่กัลปนาสมัยอยุธยาซึ่งผมได้กล่าวไว้ในบทที่ ๒ ในแผนที่ดังกล่าวมีข้อความที่ด้านหลัง(ภาษาของนักจดหมายเหตุและนักภาษาโบราณเรียกด้านหลังว่า "หน้าปลาย" และเรียกด้านหน้าว่า "หน้าต้น") กล่าวถึงสภาพของทุ่งนาในพื้นที่แถบนี้ และพื้นที่กัลปนา วัดเขียน วัดสทังพระ ไว้ว่าเมื่อพุทธศักราช ๒๒๔๒ "...สมเดจพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิษรวร...เสดจสถิตณท้องพระโรงพระธิน่งบรรยงครัตศน...พระถวายพระพรว่าพระครูอินทเมาลีศรีษาคร บวรนนทราช จุลามุนีศรีอุปดิษเถรคณ ปาแก้วหัวเมืองพัทลุง ขอพระราชทานให้ถวายพระพรด้วยดำราพระกัลปนาพระราชอุทิศ...มีพระราชโองการให้เบิกเชิงกุฎี ศิลบาญ ข้าโปรดคนทานๆพระกัลปนา ออกจากขุนมุนนาย โดยบูรรพกษัตราอุทิศไว้แต่ก่อน...แต่นี้ต่อไปเมื่อหน้าถ้าผู้ใดเรียกเอาค่านาและส่วยสาอากรสมภักษร...ให้ผู้นั้นไปตกมหาอวิจีนรกหมกไหมใด้ทุกขนิรันดร..." (ผมคงอักขระเดิมไว้ โปรดอย่าเข้าใจว่าเขียนผิด) ครั้นถึงแผ่นดินในรัชสมัยแห่งสมเด็จพระเพทราชาหนังสือกัลปนาเมืองพัทลุงได้กล่าวว่า "ไร่นาอากรตาลในที่ทานพระกัลปนา..." นอกจากนั้นหนังสือกัลปนายังได้กล่าวถึง "...พระมหาเถรโสม พระมหาเถรพง ทำพระวิหารตำบลวัดโรง แลเข้าไปในพระนครศรีอยุธยา แลมีพระราชทานโปรดให้เบิกญาติโยม แลที่ภูมิสัด แลไร่นาโตนดผลารามิส..." โดยก่อนหน้านั้นพุทธศักราช ๒๑๕๖ พระตำรากล่าวถึงบ้านเชิงแสไว้ว่า "พระครูเทพราชเมาฬีศรีปรมาจารย์ราชประชา ปลัดนั่ง ณ หัวจัง แลให้นิมนต์พระคัมภีร์ขึ้นมาครองกุฎี ณ บนเขาพะโคะ...มีกฎหมายไว้ในข้าพระเจ้าว่า ดังนี้ ในตำบลด้านทักษิณ พระครูธรรมเมธากรหัวเมืองพะโคะ ๔ องค์ แลได้ห้องนั้นสืบไปแก่พระครูรอง...นายศุขประเพณีเชิงแส องค์ ๑..."
     สำหรับจำนวนปริมาณข้าวที่ผลิตได้ในแถบละแวกนี้ เท่าที่ผมสืบค้นได้มีปรากฏอยู่ในเอกสาร ๒ ชุด ชุดหนึ่งคือ "เอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราช" ซึ่งเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม)เมื่อครั้งที่ท่านรับราชการเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งที่ว่าการมณฑลอยู่ที่เมืองสงขลา โดยรายงานของท่านเจ้าคุณจากเมืองสุพรรณบุรี ได้กล่าวถึงปริมาณข้าว สภาพการค้าข้าว และเงินค่านาในเขต "ปละท่า" ซึ่งคืออำเภอสะทิงพระ สิงหนคร ระโนด และกระแสสินธ์ุ ในปัจจุบัน ไว้อย่างน่าศึกษาและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เช่น หนังสือกราบทูลฉบับที่ ๒๔/๑๑๔ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๑๔ (พ.ศ.๒๔๓๘)ท่านเจ้าคุณยมราชกราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า..."ด้วยวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระยาวิเชียรคีรีไปตรวจราชการตามแขวงที่เรียกว่าปะท่า เพื่อได้ทราบเกล้าฯภูมิลำเนาแลการทำมาหากินของราษฎร วันแรกไปพักแรมที่ตำบลท่าหิน วันที่ ๒ ที่ ๓ พักอยู่ที่ตำบลดอยมดคัน วันที่ ๔ ที่ ๕ พักที่ตำบลเกาะใหญ่ วันที่ ๖ พักที่คลองระโนด...นาปีนี้บริบูรณ์ทั่วกันหมดถึงแก่เก็บไม่ทัน ต้องขายเข้า(ข้าว)ในนาก็มีบ้าง แต่ข้าพระพุทธเจ้ามีความเสียดายอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งชาวเมืองสงขลาพากันนิยมในการเก็บเข้า ไม่เกี่ยว ไปยืนดูเขาเก็บออกรำคาญในตาเป็นล้นเกล้าฯ เสมอยืนดูคนมีท้าว(เท้า)บริบูรณ์ดีอยู่ แต่ไม่เดิน ใช้คลาน...ถ้าเกี่ยวคงไม่ต้องขายข้าวในนาเปนแน่ ราคาเข้าเปลือกที่เก็บแล้วซื้อขายกันเกวียนละ ๒๕ ถึง ๓๐ เหรียญ ถ้าขายในนาผู้ซื้อเก็บเอาเอง เกวียนละ ๕ เหรียญ ผิดกันไกลถึงเพียงนี้...ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งมีดสำหรับเก็บเข้าทูลเกล้าฯถวายในครั้งนี้ ๒ เล่ม...ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ"

(เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม),ภาพจากหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยายมราช)

(เจ้าพระยายมราชถ่ายภาพพร้อมเจ้าเมืองทุกเมืองในมณฑลนครศรีธรรมราช,ภาพจากหนังสือเล่มเดิม)
     ก่อนที่ผมจะเล่าต่อ ขออธิบายไว้ ณ ที่นี้ก่อนสองเรื่องเดี๋ยวจะลืม เรื่องหนึ่งคือ เงินเหรียญ ที่ท่านเจ้าคุณยมราชกล่าวถึง เงินเหรียญนี้เป็นเงินเหรียญเม็กซิกัน ด้านหลังเหรียญเป็นรูปนกคาบอสรพิษจึงเรียกว่า "เหรียญนก" คิดเป็นเงินไทย ๑ เหรียญ เท่ากับ ๓ บาท อีกเรื่องหนึ่งคือ การที่ท่านเจ้าคุณได้พักที่เกาะใหญ่ในครั้งนั้นทำให้ท่านมีดำริเริ่มให้ขุดคลองเกาะใหญ่ขึ้น เรื่องนี้คนในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะชาวเกาะใหญ่อาจจะลืมไปแล้ว จึงบันทึกไว้เพื่อเป็นข้อมูลด้านประวัติศาสตร์แห่งการพัฒนา ไม่บังอาจที่จะให้เป็นความรู้ หากแต่ส่วนหน่วยราชการใด หรือท่านผู้ใดจะตั้งชื่อคลองนี้ว่า "คลองเจ้าพระยายมราช หรือ คลองสุขุม" ก็น่าจะเป็นการดี...

(เจ้าพระยายมราช สมุหเทศาภิบาลมณฑล)
     มาต่อเรื่องข้าวที่เมืองสงขลาจากเอกสารสืบเนื่องด้วยรายงานของท่านเจ้าคุณยมราชต่อดีกว่านะครับ...ด้วยความที่เมืองสงขลามีข้าวบริบูรณ์ จึงปรากฏว่า "เรือตะเภาของพ่อค้าเมืองสงขลามีอยู่ถึง ๑๔ ลำ ลำหนึ่งบันทุกเข้าสาร(ข้าวสาร) ได้ตั้งแต่ ๔๐ เกวียน ถึง ๑๒๐ เกวียน เดินระหว่างเมืองสิงคโปร์กับเมืองสงขลา" นี่คือปริมาณข้าวส่งออกของเมืองสงขลาเมื่อร้อยปีเศษที่ผ่านมา เรือแต่ละลำค้าขายหลายเที่ยวในแต่ละปี เมืองสงขลาจึงเจริญรุ่งเรืองด้วยภาษีขาออกหลายประเภทสินค้า...แต่..ภาพของการค้าข้าวคือภาพหนึ่ง ซึ่งจะเหมือนภาพของแม่และของชาวนาบ้านเชิงแสหรือไม่???...ผมก็จะชวนท่านผู้อ่านให้อ่านต่อไปครับ...
     เมื่อฝนเริ่มโปรยปรายเม็ดในช่วงเดือนสิบ ได้ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพชนผู้ล่วงลับในวันชิงเปรตหนหลังที่วัดหัวนอนกันตามประเพณีแล้ว ลูกชายชาวนาอย่างผมมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการ "โกยขี้วัว" ที่ใต้ถุนบ้าน โกยมากองรวมไว้เป็นกองใหญ่ๆ ขี้วัวที่โกยรวมกันนี้ เป็นขี้วัวแห้ง ที่เปียกนั้นยังไม่ต้องโกยมา รอให้แห้งก่อน และที่โกยมารวมกันไว้เป็นกองใหญ่อย่างนี้ ก็ไม่ต้องแยกว่าเป็นขี้วัวตัวผู้หรือตัวเมีย ขอให้เป็นขี้วัวก็แล้วกัน และที่สำคัญไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นของวัวตัวไหน การโกยขี้วัวเตรียมไว้หาบไปใส่นานี้ เป็นกิจกรรมที่น่าทำเหมือนกัน เพราะโกยเสร็จแล้วก็ขอเงินแม่เป็นค่าขนมได้ แม่ก็จะให้สลึงหนึ่ง หน้านากำลังจะเริ่มอย่างนี้แม่มีงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาทำขนม และจะกินขนมลา ขนมเบซำ ที่เหลืออยู่จากวันบุญชิงเปรต ก็เบื่อแล้ว เงินที่ได้จึงต้องนำไปซื้อขนมที่ร้านค้าในหมู่บ้าน แม่เรียกว่า "ขนมโรง" คือ เป็นขนมจากโรงงาน แม่ค้าซื้อมาจากพัทลุง จำพวกขนมหัวจุกที่แป้งกรอบหอมขนาดหัวแม่มือ ด้านบนมีเม็ดน้ำตาลหลากสีเป็นหัวจุก หรือไม่ก็ซื้อน้ำแข็งน้ำหวานของน้าปรานีที่ตั้งโต๊ะขายที่ข้างทางลงไปสะพานกลางหมู่บ้าน ตรงนั้นใกล้ๆนาของป้าฉีดครูพลอย รัตนวิไล น้ำแข็งน้ำหวานอย่างนี้กินหมดน้ำหวานแล้ว ก็เคี้ยวน้ำแข็งต่อจนหมด เพราะเป็นของหากินยากสำหรับบ้านเชิงแส หมดน้ำแข็งแล้ว ก็นั่งดูน้าไสก้อนน้ำแข็งต่อ ดูเพลินดี จนแม่ตะโกนเรียกจึงค่อยกลับบ้าน แต่ก็ไม่กลับทันทีหรอก ขานรับว่าครับไปก่อน แล้วนั่งอู้ต่ออีกนิด จนได้ยินเสียงแม่ว่า "พรื้อยังไม่เห็น ได้ยินเสียง ไม่เห็นตัว ยังไม่หลบบ้าน" นั่นแหละ จึงได้กลับบ้าน รีบกลับไม่ได้หรอก รางวัลหนึ่งสลึงนั้นวันหนึ่งได้ครั้งเดียว ได้รายวัน ไม่ใช่รายกองขี้วัว ถ้าได้อย่างนั้นแม่คงขาดทุนแย่

     หว่านข้าว เคล้าโปลก
     กลับมาถึงบ้านก็เห็นแม่นั่ง "เคล้าโปลก" อยู่แล้ว การเคล้าโปลกหรือการ"เคล้าปลูก"นั้น เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับนาหว่านที่บ้านเชิงแส ไม่ว่าจะหว่านเป็นข้าวกล้าเพื่อถอนไปปักดำต่อ หรือหว่านข้าวจริง การเคล้าโปลกคือการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่จะใช้หว่านในนามาคลุกเคล้ากับปุ๋ยขี้ค้างคาว ซึ่งเรียกว่า "มายา" ให้ปุ๋ยมายาเกาะเมล็ดพันธ์ุข้าว แม่ต้องเริ่มงานนี้ตั้งแต่ช่วงเข้าพรรษา โดยแม่และเพื่อนบ้านเช่นคุณน้าเลื่อน คุณป้าฉีด คุณป้าเอื้อย เริ่มจากนำเรียงพันธุ์ข้าวมานวด ให้ได้เมล็ดพันธุ์ พันธุ์ข้าวที่นำมานวดนั้นมีข้าวหลายสายพันธ์ุ กล่าวเฉพาะของแม่ ก็มี พันธ์ุนางฝ้าย พันธ์ุนางกอง พันธ์ุนางหมุย พันธ์ุช่อไพร และที่สำคัญคือพันธ์ุไข่มดริ้น ข้าวพันธ์ุดีของบ้านเชิงแส แม่ต้องใช้ข้าวปลูกหลายสายพันธ์ุก็เนื่องเพราะ ที่นาของเรามีอยู่หลายที่หลายบริเวณ ที่นาใกล้ทะเลโคกพระซึ่งเป็นนามรดกของปู่ของย่า เป็นที่ลุ่มมาก เรียกว่า "นาลึก" น้ำมากบางปีถึงหน้าเก็บแล้วต้องเก็บข้าวกันในน้ำ ต้องใช้ข้าวพันธ์ุหนักขึ้นน้ำ ที่ว่าพันธ์ุหนักถือเอาระยะเวลาเก็บเกี่ยวเป็นเกณฑ์ ถ้าปลูกข้าวแล้ว ๕ เดือนจึงจะเก็บได้อย่างนี้เรียกว่าข้าวพันธ์ุหนัก ข้าวที่เชิงแสส่วนใหญ่เป็นพันธ์ุข้าวที่หนักน้อยกับหนักมาก ไม่มีข้าวพันธ์ุเบา ผมจำได้ว่าข้าวพันธ์ุเบา อย่างพันธ์ุ "ก ข" เลขต่างๆ เช่น "กข ๗" มาถึงเชิงแสเมื่อผมอายุประมาณ ๘ ขวบ ชาวเชิงแสเรียกว่า "ข้าวเตี้ย" เพราะต้นข้าวเตี้ยมาก ไม่สูงเหมือนข้าวพันธ์ุพื้นเมือง และเป็นพันธ์ุที่เบามากๆ ประมาณ ๓ เดือน ก็เกี่ยวได้แล้ว คือเกี่ยวโดยใช้เคียว ไม่ได้เก็บโดยใช้ "แกะ" นาแปลงแรกที่ปลูกข้าวพันธ์ุ ก ข เป็นนาของคุณครูแอบ ศิริรักษ์ ที่หน้าหมู่บ้านใกล้ "สระตีน" ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ที่จำได้ก็เพราะผมมีความสนใจนั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็เพราะเป็นการทดลองปลูก และไม่ได้ปลูกหน้าฝน ใช้น้ำที่ต่อจากท่อประปาหมู่บ้านมาปลูกข้าว และอย่างที่สำคัญที่ทำให้ผมจำได้ก็คือ ข้าวพันธ์ุใหม่ของบ้านเชิงแส เขาหว่านโดยไม่ต้องใช้วิธี "เคล้าโปลก"
     เมื่อแม่ได้เลือกเรียงพันธ์ุข้าวมาแล้ว แม่นวดข้าวที่ใต้ถุนบ้านโดยแม่ใช้หนังวัวปูเป็นที่รองนวดข้าว มือแม่จับไม้ไผ่ที่เป็น "หลอดคอกวัว" เท้าแม่ก็นวดข้าวไปคราวละประมาณ ๕ เรียง ส่วนผมนั้นแม่ก็สอนให้นวดเข้าคราวละ ๑ เรียง เรียงเดียวแท้ๆ เท้าก็แสบไปหมด เมื่อเท้าแสบก็ต้องอู้เป็นเรื่องธรรมดา เริ่มจากขอแม่หยุดนวดข้าวบอกแม่ว่า หิวน้ำ ดื่มน้ำเสร็จแล้วก็จะถามยายว่า "ยายจะกินหมากแล้วไม่" คือจะกินหมากแล้วหรือยัง ถ้ายายตอบว่า "ยนหมากให้ยายที่ตะ" ก็จะบอกแม่ว่านวดข้าวต่อไม่ได้แล้ว ต้อง"ยน"หมากให้ยาย มีงานอื่นต้องทำแล้ว แม่ต้องเร่งให้ยนหมากเร็วๆ..."อย่าแช อย่าแช" คืออย่าช้า...หญิงชาวเชิงแสนั้นทั้งขยัน อดทน ทั้งกล้าทั้งเกร่ง โดยเฉพาะในเรื่องทำนาและนวดข้าวแล้ว เกิดมายังไม่เคยเห็นใครสู้ได้ แม่นวดข้าวเร็วมาก ไม่นานก็ได้พันธ์ุข้าวกองเต็มผืนหนัง แล้วแม่ก็ "สงฟาง" ผมช่วยแม่สงฟางข้าวกองที่แม่นวด ส่วนเรียงที่ผมนวดนั้น ไม่ต้องสงฟาง เรียงเดียวเท่านั้น ยังนวดไม่เสร็จ ยังไม่หายแสบเท้าเลย "สงฟาง" คือการแยกฟางข้าวออกจากเมล็ดข้าว รวงระแง้ข้าวอย่างนี้คนใต้บ้านผมเรียกว่าฟาง แต่ภาคอื่นนั้นคำว่าฟางข้าวหมายถึงต้นข้าวแห้งที่ได้จากการฟาดข้าว ต้นข้าวแห้งอย่างนี้ที่เชิงแสเรียกว่า "ซัง" หรือ "ซังข้าว" โรงที่ไว้ซังข้าวเรียกว่า "โรงซัง" ฟางข้าวที่ได้จากการสงข้าวนี้ นำไปรองรังให้แม่ไก่ฟักไข่ก็ได้ นำไปให้วัวกินก็ได้ แต่ที่สำคัญและมีประโยชน์ที่สุดสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างพวกผม คือ นำไปรอง "หมกโหม้งหัวครก" คือใช้เผาเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ... ที่ทนนวดข้าวกับแม่ ทนปวดแสบเท้าอยู่ก็เพราะรอตรงนี้แหละ ตั้งใจว่าช่วยแม่นวดข้าวแล้ว จะขอฟางข้าวและขอเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ไปเผากินกัน
     แต่เรื่องฟืนเรื่องไฟนี้แม้แม่จะตามใจเด็กประถมหกประถมเจ็ดอย่างพวกเราให้ดีใจ เพราะจะได้ชวนกันเผา "โหม้งหัวครก" แบ่งปันกันกิน แต่แม่ก็จะปล่อยให้ห่างตาไม่ได้ เราจึงต้องเผาที่ที่โล่งข้างบ้านป้าฉีด เพราะตรงที่โล่งบริเวณนั้นปลอดภัยที่สุด และอยู่ใกล้แม่และป้าฉีดที่สุดด้วย หรือไม่อีกบริเวณหนึ่งก็จะเผาเมล็ดมะม่วงหิมพานต์กันที่ร่องผักกาดเก่าที่หน้าบ้าน (ซึ่งขณะนี้เป็นที่ปลูกกล้วยน้ำ ปลูกไว้ตั้งแต่ยังมีแม่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเหลืออยู ๒ กอใหญ่ ๆ ทั้งต้นโตและหน่อกล้วยเล็ก มีอยู่ประมาณ ๒๐ ต้นเห็นจะได้ ผมเพิ่งไปเยี่ยมบ้านเกิด จึงถ่ายภาพมาให้ชม)++++...

(กอกล้วยน้ำที่บ้านแม่ ในภาพ..จะเห็นทั้งต้นใหญ่และหน่อเล็กๆ..กล้วยน้ำน้ีมีชื่อวงศ์ว่า Musaceae ต้นใหญ่นั้นกว่าจะให้ผลออกเครือต้นก็จะสูงมากถึง ๔ เมตร และแน่นอนว่าเส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนต้นก็ใหญ่เช่นกันคือประมาณ ๒๐ เซ็นติเมตร กล้วยน้ำมีผิวกาบขาวนวล หยวกกรอบแกงอร่อย ผลดิบฝนกับน้ำปูนเป็นยาแก้ท้องร่วง ผลของกล้วยน้ำนั้นนิยมนำไปประกอบพิธีงานมงคล ส่วนที่เชิงแสเด็กๆอย่างผมใช้กินกัน ไม่ใช่เพื่อให้เกิดมงคลหรืออะไรหรอก แต่กินเพราะเป็นของที่กินได้บวกกับไม่มีผลไม้อื่นให้กิน จึงกินผลไม้ป่ากันหลายชนิดตามมีตามเกิด เช่น ลูกเหมร ลูกโท้ะ ลูกขุมนก ลูกข่อยสุก ลูกหว้า ลูกขลบ ตลอดจนลูกราม เรื่อยไปถึงนมแมว และฝรั่งบ้าน (ฝรั่งบ้านพบว่ามีขายที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ กิโลกรัมละ ๘๐ บาท) สุดท้ายก็เป็นผลไม้เปรี้ยวอย่างมะเหม้า และมะขามอ่อนจิ้มกะปิ หรือถ้าโชคดีก็จะได้มะขามบอนเป็นมะขามพองก่อนถึงขั้นมะขามเปียก...อร่อยดีตามประสาเด็กบ้านทุ่ง)
     เสร็จจากอาหารว่างของโปรดประเภทสุดยอดของขบเคี้ยวบ้านทุ่งอย่างโหม้งหัวครกแล้ว....ก็ต้องมาช่วยแม่โปรยข้าว...ผมไม่ได้โปรยข้าวจริงๆหรอก ยังทำไม่ได้ ได้แต่โกยกองพันธ์ุข้าวใส่กระสอบหลังจากที่แม่โปรยข้าวเสร็จแล้ว...นึกคิดถึงภาพแม่และชาวนาที่ต้องตรากตรำทำนาแต่ละขั้นแต่ละตอนแล้ว ยากลำบากเสียจริง ๆ พ่อและแม่จึงปลูกฝังลูก ๆ ทุกคน ให้รู้ถึงคุณของข้าว โดยสั่งสอนและบังคับให้กินข้าวอย่าให้ข้าวหกตกที่พื้น และต้องกินให้หมดจาน เพราะกว่าจะมาเป็นข้าวสารและข้าวสุกนั้นเหนื่อยยากมาก....แม่โปรยข้าวโดยใช้กระด้งตักเมล็ดข้าว แล้วยกขึ้นข้างลำตัวให้สูงรอจังหวะลมพัดมา แล้วจึงค่อยๆโรยโปรยข้าวลงมา ลมจะช่วยพัดเมล็ดข้าวลีบให้ปลิวไปห่างจากกองกลุ่มเมล็ดพันธ์ุข้าวที่สมบูรณ์ ต้องโปรยข้าวอยู่นานกว่าจะเสร็จ หากไม่มีลมพัดมา แม่จะร้องเรียกลม หวู้...หวู้...หวู้...เด็กอย่างผมก็ช่วยเรียกลมให้แม่ ทำไปอย่างนั้นแหละเห็นเป็นเรื่องสนุกๆ ตามประสาเด็ก

(กล้วยน้ำที่บ้านแม่ กล้วยพื้นเมืองพันธุ์นี้ หวีไม่ใหญ่และเครือหนึ่งมีหวีประมาณ ๕ ถึง ๗ หวี เท่านั้น ปัจจุบันนับว่าเป็นกล้วยที่หากินยากขึ้นทุกวัน เมื่อวันที่ ๙ มิ.ย.ที่ผ่านมาผมกลับไปที่บ้านแม่อีกครั้งหนึ่ง ครั้งล่าสุด จึงเก็บภาพมาฝาก)

(นอกจากจะเก็บภาพมา ก็ได้นำกล้วยน้ำหิ้วขึ้นครื่องบินกลับมาบ่มที่บ้านที่กรุงเทพฯด้วย ๑ หวี บ่มอยู่ ๓ วัน สุกแล้วหน้าตาเป็นดังที่เห็น รวมค่าเครื่องกับค่าเช่ารถจากสนามบินหาดใหญ่ไปบ้านเชิงแสแล้ว เสร็จสรรพ กล้วยน้ำจากบ้านแม่หวีนี้ ราคา ๙,๐๐๐ บาท อาจจะได้แรงอกจริงๆ..???..และคงจะหายคิดถึงบ้านเกิดไปอีกสักปีเลยทีเดียว???)

(กล้วยน้ำบ้านเชิงแสเมื่อสุกแล้ว เปลือกเหลืองงามอร่าม เนื้อยิ่งเหลืองเหมือนทองปลั่ง กลิ่นและรสชาติหอมเย็นนุ่มคล้ายๆกล้วยเล็บมือนาง ประมาณนั้น และที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษก็คือ กล้วยน้ำจะมีใส้หนืดๆอยู่ข้างใน พวกเด็กๆบ้านเชิงแสโตมาจากพืชผลพื้นบ้านอย่างนี้แหละครับ)

(ก่อนกลับกรุงเทพฯ แวะไหว้ "บัว" ที่บรรจุกระดูกของพ่อ กับบัวของตาของยายของแปะหลวงและของแม่ ยายและแม่เป็นชาวนา บัวที่เก็บกระดูกก็ตั้งอยู่บนเนินคันนาใกล้แถวต้นตาลอย่างที่เห็น เก็บภาพท้องนาและต้นตาลใกล้บัวของยายและแม่มาฝาก ให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของทุ่งข้าวแห่งบ้านเชิงแส เชิงแสบ้านแม่ ...บ้านทุ่งริมเล)
     ประมาณ ๒ สัปดาห์ พันธ์ุข้าวทุกชนิดจะนวดเสร็จทันกับการซื้อ "มายา" ขี้ค้างคาว ที่พ่อสั่งซื้อมาจากจังหวัดพัทลุง(ซื้อมาจำนวนมากพอสมควร ที่เดียว เพราะต้องใช้ทั้งในนาของเรา และส่วนหนึ่งนำมาขายแก่ชาวนารายอื่น)แม่เริ่ม "เคล้าโปลก" โดยนำพันธ์ุข้าวใส่กะละมังใหญ่ ตักน้ำในถังข้างตัวด้วยขัน ราดน้ำพรมให้ทั่วเมล็ดข้าว แล้วตักมายาขี้ค้างคาวสีน้ำตาลแก่โรยบนเมล็ดพันธ์ุข้าว ใช้ไม้พายเล็กคลุกเคล้า พลางใส่ขี้เถ้าผสมลงไปเล็กน้อย มายาก็จะจับเมล็ดข้าวทุกเมล็ด เมื่อได้ที่แล้วจึงเทเมล็ดข้าวใส่กระสอบ รอพ่อมาหาบไปปลูกหว่านในนา ขั้นตอนนี้แม่ใช้เวลามากหลายวันกว่าจะได้พันธ์ุข้าวเคล้าปลูกครบถ้วนเพียงพอในแต่ละฤดูทำนา ฤดูกาลทำนานี้เรียกตามภาษาของชาวนาบ้านเชิงแสว่า "หยามนา"
     "หยามนา"...เริ่มแล้ว งานของพ่อและแม่รวมทั้งชาวบ้านเชิงแสทุกครัวเรือนจะยุ่งมาก ทุกครอบครัวมีงานต้องทำไม่หยุดไม่หย่อน พ่อต้องเตรียมและซ่อมคันไถ หางยาม หัวหมู(ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบคันไถ สำหรับไถนา) แอกที่เรียกติดปากว่าลูกแอก ผาลที่จะต้องซื้อใหม่ และต้องดูแลวัวทุกตัวให้ดี ไม่ให้ป่วย เช่น ไม่ให้(วัว)ท้องเสีย ขี้รั่ว สำคัญที่สุดคือต้องไม่ให้โจรมาปล้นวัวลักวัวไปเสียยามหน้านากำลังจะเริ่ม หน้าไถจะเริ่ม..../
     เมื่อพ่อต้องเริ่มงานไถ ผมก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไป "ส่งวัว" ให้พ่อที่นาแปลงที่พ่อจะไถ นาของเรามีหลายบริเวณ ไกลสุดประมาณ ๓ กิโลเมตรเศษ ก็คือที่ "หนองบ่อ" ต่อแดนกับนาของชาวเจดีย์งาม โดยนาที่ติดกันทางทิศใต้หัวนาคันนาร่วมกันคือนาของน้าขับชาวเจดีย์งาม นั่นไกลสุด ที่นาบริเวณถัดเข้ามาใกล้มาหน่อยหนึ่งคือที่ "ขวางหวัน" เรียกว่าขวางหวันแปลว่า "ขวางตะวัน" อันที่จริงแปลงนาไม่ได้ขวางตะวันหรอก ทั้ง ๑๑ ไร่ รวม ๔ บิ้งนา บริเวณนี้ผืนนายาวตามตะวันจากตะวันออกไปทางตะวันตกตามปกตินั่นแหละ แต่บังเอิญว่าที่นาเดิมของยายบริเวณนี้มีรวม ๓๐ ไร่ กลางที่ดินแปลงใหญ่ตาของผมปลูกขนำใหญ่ไว้ ขนำนี้ปลูกให้ยาวตามแนวเหนือใต้เป็นลักษณะขวางตะวัน ในครอบครัวเราจึงเรียกที่นานี้ว่า "นาขวางหวัน" ดังกล่าวข้างต้น หากบางเช้าพ่อไถนาที่สวนตีนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ผมก็ต้องไปส่งวัวที่สวน และบางเช้าพ่อไถนาที่นาเลโคกพระซึ่งเป็นนามรดกของปู่ย่าผมก็ต้องส่งวัวท่ี่โคกพระ การไล่วัวจูงวัวไปส่งให้พ่อนั้น ภาพจริงๆ ก็คือไปพร้อมกับพ่อนั่นแหละ พ่อแบกคันไถ ผมจูงวัวตามหลัง ส่วนแม่หุงข้าวทำแกงที่บ้านเสร็จงาน "ในไฟ" ในครัวแล้วจึงหิ้วหม้ออวยและปิ่นโตตามไป ข้าวแกงที่แม่นำไปที่นานั้นเป็นทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยงของพ่อและแม่ ส่วนผมนั้นกลับมากินที่บ้านแล้วจึงไปโรงเรียน โดยที่ไม่ลืมไหว้ยายและขอเงินจากยายหนึ่งสลึงเสียก่อน+....+..การไปส่งวัวให้พ่อไถนาเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ยังไม่ทันสว่าง คือประมาณเห็นลายมือรางๆ ก็เริ่มออกจากบ้านกันแล้ว ชาวเชิงแสแบกไถจูงวัวออกไปไถนาเวลานี้แทบทุกครัวทุกบ้าน กลิ่นทุ่งนายามเช้าหน้าไถหอมเย็นและสดชื่น ผมเคยถามพ่อว่าทำไมนาของเราทั้งหมดไม่อยู่ที่เดียวกัน พ่อบอกว่า "มีนาหลายที่นั้นดีแล้ว เพราะฝนตกไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน"เป็นความจริงเหมือนคำของพ่อ ชาวนาภาคใต้บ้านผมอาศัยน้ำฝนทำนา หากวันนี้ฝนตกที่หนองบ่อดินนุ่มพอดีไถ ก็ไถนาที่หนองบ่อ ที่สวนด้านทิศเหนือของบ้านฝนยังไม่ตก ก็ไม่เป็นไร มีที่นาให้ไถไม่ต้องรอฝนตกจนทั่วฟ้า ...เช้านี้พ่อไปไถนาที่ขวางหวัน ผมส่งวัวให้พ่อที่นั่น ระหว่างทางพบเพื่อนๆ หลายคนต่างก็ไปส่งวัวเหมือนกันก็คุยกันไปจนถึงที่นา ถึงที่นาแล้ว ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก ลูกชาวนาอย่างผมต้องจูงวัวคู่ที่จะ "เข้าไถ" ไปกินหญ้าก่อน เป็นการเอาใจวัวเสียหน่อยหนึ่งประมาณนั้น หน้าที่อย่างนี้ไม่ต้องรอให้พ่อบอก ส่วนพ่อนั้นวางคันไถแล้ว พ่อใช้จอบจวกชายคันนาไปเรื่อยๆ เรียกว่า "ฉากชายนา".....ซึ่งเป็นสาระคัญอย่างหนึ่งของการเริ่มทำนา...พ่อฉากชายนาไปเรื่อยๆ พร้อมกันกับตรวจดูว่าคันนาที่ใดตรงไหนมีรูหนูรูปูนาหรือไม่ พบแล้วก็ต้องใช้จอบจุดดินนุ่มๆในนาแล้วนำไปอุดเสียให้แน่น หากไม่อุดรูให้ดีถึงคราวข้าวใหญ่ในนามีน้ำฝนแล้ว น้ำในนาจะไหลออกหมด ข้าวก็จะไม่สมบูรณ์เพราะขาดน้ำ การฉากชายนามีประโยชน์อีกอย่างก็คือทำให้คันนาสะอาดเรียบงามเพราะหญ้าข้างคันนาถูกคม "จอบตราจระเข้" ของพ่อจัดการดายไปจนหมด หญ้าชายข้างคันนาเหล่านี้จะไม่มาแย่งปุ๋ยข้าวในนา นาของเราใช้ปุ๋ยข้ีวัวและปุ๋ยขี้ค้างคาวซึ่งจะพอดีสำหรับข้าวในนา จะให้มีหญ้าในนาหรือหญ้าที่ข้างคันนามาแย่งปุ๋ยไม่ได้
     ตะวันขึ้นในระดับยอดแนวทิวแถวต้นตาลแล้ว พ่อเรียกผมให้จูงวัวมาเทียมคันไถ เรียกว่า "เข้าไถ" ..."ลูกบ่าว จูงวัวมาเข้าไถได้แล้ว.." ผมจูงไอ้แดงกับอีดำสองแม่ลูกมาให้พ่อ วัวสองตัวนี้เป็นแม่กับลูกอีดำให้ลูกวัวตัวผู้แก่เราหลายตัวแล้ว เช่น ไอ้แดง ไอ้อุด ไอ้ขวัญเรียง ไอ้แดงโตเป็นวัวถึกแล้วต้องจูงมาไว้นอกแอกให้อีดำเป็นตัวในเพราะแรงน้อยกว่า ผมจูงวัวมาเข้าไถเมื่อทั้งสองตัวมาถึงคันไถ ผมร้องว่า "โย แดงโย โย โย" วัวก็จะหยุดแล้วยืนนิ่งๆ...พ่อยกแอกขึ้นครอบที่คออีดำก่อนแล้วดึงสายเชือกจากแอกด้านหนึ่งอ้อมใต้คอวัวไปเกี่ยวไว้ที่ร่องแอกอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงครอบแอกที่ไอ้แดงถึก ต่อมาพ่อก้มลงจับปลายคันไถลอดเชือกคล้องแอกที่กลางแอก ใช้แรงดึงให้ปุ่มคันไถเข้าล็อกกับเชือกคล้อง การไถนาจะเริ่มแล้ว เมื่อพ่อเดินอ้อมหลังวัวทั้งคู่ไปที่หางยาม ผมจับเชือกที่จมูกวัวไว้ พลางพูดว่า "โย ๆ ๆ" ให้วัวยืนนิ่งๆจนกว่าพ่อจะกุมยกตั้งหางยามได้ เริ่มวันไถแรกๆของหยามนา ต้องระวัวไม่ให้วัวเดินพาคันไถเพราะความตื่นเพริด เนื่องจากผาลไถจะ "กินน่องวัว" คือบาดน่องวัวหรือเท้าวัว..ต้องระวังให้ดีที่เดียว.. เมื่อพ่อจับกุมหางยามได้แล้ว ผมกลับหลังหันเดินนำหน้าจูงวัวในช่วงเริ่มต้นก่อนประมาณ ๓ รอบนา เรียกตรงๆตามภาษาคนทำนาว่า "เดินนำหน้าวัว" ให้วัวรู้งานก่อน พ่อส่งเสียงบอกวัวทั้งสองตัวว่า "ฮุย" ผมเริ่มจูงวัวทั้งคู่ให้เดินลากคันไถ ความจริงแล้วเสียงฮุย.นั้นบอกวัวเป็นภาษาวัว ไม่ได้บอกผม แต่ผมก็ต้องเดินเหมือนวัว รอบไถแรกแรกเดินสบายเท้าในดินนุ่ม แต่ครั้นถึงรอบที่สองต้องระวังขึ้นเนื่องจากเริ่มมี "ขี้ไถ"ในนาแล้วจากรอยไถรอบแรก เดินไม่ดีจะล้มเอาได้ แต่ผมไม่เคยล้ม พ่อและชาวนาเชิงแสทั้งหญิงทั้งชายเดินไถนาด้วยเท้าเปล่า นามีมากก็ต้องไถมาก ไถนาจนเท้าเจ็บไปหมด ปีที่แล้วเมื่อผมไปเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์คุณน้าเลื่อน เครือแก้ว เพื่อนของแม่ เกี่ยวกับผู้หญิงชาวเชิงแสไถนา น้าบอกว่า "แทบทุกปีแหละหัวแบนเอ้ย ตีนเจ็บจนเลือดออกก็ต้องไถให้เสร็จ ให้ทันหยามนา..." (คุณน้าเลื่อนและน้าหลวงชิ้นสามีเลี้ยงดูผมมาไม่น้อย เรียกชื่อผมด้วยตามลักษณะหัวด้วยความคุ้นเคยเอ็นดู เมื่อผมเรียนกฎหมายที่ธรรมศาสตร์มีรุ่นพี่ชาวใต้ผมคนหนึ่ง ชื่อเล่นภาษาใต้ว่า "ลุ่ย" ที่แปลว่าหลุด เข้าใจว่าเมื่อนุ่งผ้าหรือกางเกง นุ่งหลุดก้นเป็นประจำ แต่ครั้นไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เพื่อนที่กรุงเทพฯเรียกชื่อเล่นออกเสียงเป็นภาษาต่างประเทศว่า "หลุยส์" ดูโก้ไปเลย ตอนนี้พี่หลุยส์ของพวกน้องๆ เป็นข้าราชการระดับปลัดเทศบาลพัทยาแล้วนะครับ.จะบอกให้)
      เมื่อเดินนำหน้าวัวครบรอบที่ ๓ แม่มาถึงนาพอดี พ่อร้องว่า "โย ๆ ๆ" ผมหันมา "ตรันหน้าวัว" ไว้ให้วัวหยุด พ่อวางคันไถให้วัวทั้งคู่ยืนพัก ระหว่างที่พ่อกับแม่นั่งทานเข้ามื้อเช้าที่บนคันนา โดยที่ผมก็นั่งกิน "ขนมมอชี่" ฝีมือของ "ป้าลับ" หน้าวัดกลางที่แม่ซื้อมาฝาก พ่อพูดกับผมอย่างจริงจังว่า "เป็นชาวนาเหนื่อยมากลูกเอ๋ย พ่อและแม่ไม่อยากให้ลูกเป็นชาวนา พ่อจึงส่งลูกทุกคนไปเรียนหนังสือในเมือง ให้ไปเรียนที่สงขลากันทุกคน พ่อจะไม่ให้ลูกเป็นชาวนา..." "คำพ่อ" คำนั้นแม้เวลาผ่านมาถึง ๔๐ ปีแล้ว แต่ผมยังจำคำของพ่อได้อยู่จนถึงทุกวันนี้
     ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเดินมาตามคันนาพลางดูต้นตาลไปทั่ว ต้นไหนมีลูก "ทรามกิน" แล้ว ผมก็หยิบใบตาลแห้งกำหนึ่งไปเสียบไว้ที่กาบตาลตรงโคนต้นตาล ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า "เหน็บกรรมโคน หรือ เหน็บโคน" ซึ่งหมายความว่า "จอง" ลูกตาลไว้แล้ว ชาวเชิงแสทุกคนจองลูกตาลไว้ได้ จะเป็นนาของเราเองหรือตาลที่นาคนอื่นก็จองได้ ไม่ว่ากัน แต่เท่าที่เห็นเป็นธรรมเนียมว่าจองได้ครั้งเดียว เมื่อขึ้นตาลฟันลูกลงแล้วก็เอาใบตาลแห้งที่เหน็บกรรมออกเสีย คำว่า"กรรม"คงมาจากคำว่า "กรรมสิทธิ์" นั่นเอง แต่ก็ไม่ตรงทีเดียวนัก คือคล้ายๆกรรมสิทธิ์เพียงชั่วคราว เพียงคราวเดียว แปลงหญ้าก็เช่นกัน หากจะจองคราวใดก็นำไม้ไปปักไว้เรียกว่า "ปักกรรม"....การให้จองกันอย่างนี้เป็นการเอื้อเฟื้อกันตามวิถีชีวิตประสาคนบ้านนอกบ้านนา ลูกตาลที่ให้เหน็บโคนจองกันอย่างนั้นให้จองกันคราวเดียวดังที่เล่าแล้ว หากจองหลายครั้งติดๆกันไม่แบ่งใคร เข้าใจว่าแทนที่จะได้กินลูกตาลก็คงไม่ได้กินแน่ ...แต่จะได้กิน"ลูกโหนดหัวกลวง" แทนลูกตาล...อย่างแน่นอน...เพราะจะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปอันมาจากความเห็นแก่ตัว....ลูกตาลที่จองไว้นั้นตกเย็นหลังเลิกเรียนพวกเด็กๆก็จะชวนกันไปขอให้รุ่นพี่ๆช่วยขึ้นฟันลงมาให้กิน รุ่นพี่คนหนึ่งที่เคยขึ้นต้นตาลให้พวกเรากิน ก็คือ "บ่าวหวิด" บ่าวหวิดขึ้นต้นตาลเก่งมาก และขณะขึ้นต้นตาลแกจะถอดกางเกงนอกออก เหลือไว้แต่กางเกงใน แกบอกว่านุ่งกางเกงในขึ้นต้นตาลมันคล่องดี ...ผมไม่ได้พบบ่าวหวิดเสียนานประมาณ ๓๐ ปีแล้ว เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมากลับไปทำบุญที่บ้าน จึงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง แทบจะจำกันไม่ได้ ผมถามบ่าวว่า "ยังขึ้นโหนดอยู่หรือไม่?" บ่าวหวิดตอบว่า "ขึ้นไม่รอดเสียแล้ว"./
     ผมรีบเดินกลับบ้านเพื่อให้ทันเข้าแถวที่โรงเรียนวัดเชิงแส(เมฆประดิษฐ์)โดยทิ้งภาพท้องนาหน้าไถไว้เบื้องหลัง....พ่อและชาวบ้านเชิงแสไถนาอยู่ "หลายเช้า" พ่อนั้นไถนาไม่หยุดเลยไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ต้องไถทุกวัน ไถจนถึงเที่ยงก็หยุดเรียกว่า "ไถได้งายหนึ่ง" ช่วงหลังเที่ยงแล้วไม่ไถนา ให้วัวได้พักกินหญ้า กินหญ้าจาก "หวันเที่ยง ..หวันไช้ ..จนหวันเย็น" รอผมมารับวัวกลับหลังจาก "โรงเรียนลง" คือหลังเลิกเรียน เด็กนักเรียนที่บ้านเชิงแสมีประสบการณ์กันอย่างนี้ทุกคน พ่อไถนาทั้งไถดะและไถแปรแล้ว จึงถึงขั้นตอนหว่านข้าว แม่หาบข้าวปลูกที่เคล้ามายาไว้ดีแล้วไปยังที่นาวันเว้นวัน การทำนาโดยใช้แรงงานในครอบครัวอย่างนี้ ต้องไถไปหว่านไป พ่อหว่านข้าวน่าชมมาก พ่อใช้กระสอบนั่งใส่ข้าวปลูกจนเต็ม อุ้มไว้ด้วยมือซ้ายแล้วใช้มือขวากำข้าว หงายมือซัดโปรยเมล็ดข้าวออกไปตามผืนนาที่ไถเตรียมดินไว้ ข้าวที่ปล่อยออกจากมือนั้น คราวแรกปล่อยออกไปไม่หมด โดยคลายนิ้วออกเพียง ๒ นิ้วก่อน ข้าวปลูกส่วนหนึ่งจึงยังเหลืออยู่ในมือ การหว่านครั้งแรกหว่านไปใกล้ๆก่อน หว่านข้าวในมือครั้งสองหว่านไปไกล เมล็ดข้าวพุ่งเป็นสายสีน้ำตาลดูงามตา นาที่ขวางหวันของเราเป็นนาหว่าน หว่านแปลง"ในพรุ" ซึ่งเป็นที่ลุ่มและแปลงใหญ่ที่สุดโดยใช้พันธ์ุข้าวไข่มดริ้น....หลังจากหว่านข้าวเสร็จแล้วก็ต้องฝากไว้กับฝนกับฟ้า ปีนี้โชคดีฝนตกต้องตามเวลา คือค่อยๆตก หนักขึ้นๆ ตามอายุของข้าว ในนาเราข้าวงามดี และหญ้าในนาก็งามเหมือนกัน งานในนาจึงต้องทำต่อเนื่องไป เป็นงานตัดหญ้าและ "ข้าวผี" เพื่อให้นาหมดวัชพืช หญ้าในนาและข้าวผีนั้นไม่ได้ตัดทิ้งไปเปล่าๆ ต้องนำมาเลี้ยงวัว นำมาให้วัวกิน หน้านาแล้วพื้นที่เลี้ยงวัวมีน้อยมาก ชาวเชิงแสต้องใช้หญ้าในนาเลี้ยงวัวกันทั้งนั้น...โดยเฉพาะวัวของพ่อนั้นทุกตัวจะมีอาหารพิเศษ นั่นคือ "ลูกตาลอ่อน"...ซึ่งพ่อสอยมาสับให้กินเป็นอาหารเสริม/

     เข้าเมือง กับ เรื่องราวและประวัติของสวนพระเทศฯ

(ภาพพระนิเทศโลหสถาน, วูดฮัล วุฒิภูมิ)
     ก่อนออกพรรษาขณะที่ต้นข้าวในท้องนาเริ่มโตขึ้น แม่ได้รับข่าวจากสงขลาว่า "ป้าเชย" พี่สาวของแม่ป่วย ป้าของผมท่านนี้ได้นำลูก ๆ เข้าไปตั้งหลักของชีวิตที่ในเมือง โดยป้าต้องจากบ้านเชิงแสไปอยู่ที่บ่อยาง สงขลา หลังจากที่ "แปะฮั่น" สามีของป้าจากไป ป้าเชยปลูกบ้านอยู่ที่ "สวนพระเทศฯ" ในเขตเทศบาลเมืองสงขลา ป้ารับข้าวสารจากโรงสีไปขาย เลี้ยงตัวและเลี้ยงลูก ๆ ที่สำคัญป้ามีพระคุณแก่ญาติเหลือคณา เพราะป้าจัดให้บ้านเป็นที่พักแก่พี่ๆของผมที่เข้าไปเรียนหนังสือในเมืองสงขลา ไม่เท่านั้นป้ายังให้ความอนุเคราะห์แก่เด็กผู้หญิงลูกหลานชาวเชิงแสนับสิบคน ให้ได้มีที่พักอาศัยในระหว่างไปเรียนหนังสือที่สงขลา ทั้งนี้เนื่องเพราะในขณะนั้นกิจการหอพักที่สงขลามีน้อย ถึงจะมีก็เกินปัญญาและเกินกำลังเงินของชาวบ้านเชิงแส คุณูปการของป้าเชยเป็นสิ่งเป็นเรื่องที่ชาวเชิงแสที่เคยไปพึ่งพิงป้าไม่ควรลืม...+++...เมื่อป้าป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลแม่ซึ่งเป็นน้องสาวจึงต้องทิ้งท้องนาไว้ชั่วคราว ไปเยี่ยมป้า ...แม่เข้าเมืองครั้งนี้แม่นำผมไปด้วย เป็นการเข้าเมืองสงขลาครั้งแรกๆ ของผม แม่พาผมลงเรือ "ศรียนต์" ของแปะเซ่งไประโนด แล้วคืนนั้น "เรือแสงจันทร์" เรือยนต์สองชั้นก็นำผู้โดยสารกับแม่และผม พร้อมสินค้าสารพัด ตลอดจนหมูในชุดไก่ในเข่ง เดินทางในยามค่ำคืนฝ่าท้องน้ำทะเลสาบเดินจักรสู่สงขลา ผู้โดยสารนั้นมีทั้งเดินทางไปเยี่ยมญาติ ไปธุระ และไปค้าขาย ส่วนหมูและไก่ที่ท้ายเรือก็ไปเยี่ยมญาติเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เยี่ยมญาติที่บ้าน หมูและไก่ไปเยี่ยมญาติที่โรงเชือด และก็คงจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จึงไม่กลับมาที่ระโนดอีกเลย...เรือแสงจันทร์จอดแวะรับผู้โดยสารครั้งเดียวที่อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง เมื่อเวลาเที่ยงคืน จากนั้นเรือแล่นต่อไปจนถึงเกาะยอ และก็ถึงท่าเรือสงขลาเมื่อจวนสว่าง ท่าเรือนี้อยู่ใกล้ร้านค้าของน้าปานน้าถิ่น แก้วทอง เจ้าของโรงสีเชิงแสกสิกิจ แม่ปลุกผมให้ตื่นนอน แล้วนำผมลงจากชั้นสองของเรือ เช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ แม่และผมแวะที่ร้านน้าถิ่นครู่หนึ่ง น้าถิ่นเรียกรถสามล้อที่รู้จักกันให้แม่พร้อมทั้งบอกสามล้อว่า.."ไปบ้านน้าเชย ที่สวนพระเทศ"
     "สวนพระเทศฯ" เป็นละแวกเก่าที่หนึ่งของเมืองสงขลา ชื่อนี้น่าจะเรียกกันมาตั้งแต่รัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ หรืออาจจะตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระปิย มหาราช ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ก็อาจเป็นได้ ชาวสงขลาและท่านที่มีบ้านเกิดในเมืองสงขลาบางท่านอาจจะไม่ทราบ เอาเป็นว่า "เด็กบก" จากบ้านนอกบ้านนา ขออนุญาตอย่างวิสาสะเล่าเรื่อง "ละแวกบ้านนามทำเล" เก่าของเมืองสงขลาให้ฟังก็แล้วกันนะครับ
     "พระเทศฯ" .... เป็นราชทินนามและบรรดาศักดิ์ของข้าราชการไทยที่สัญชาติบิดาเป็นสิงหล แบบเดียวกับพระยาอรรถการประสิทธิ์ (William Alfred Tileke)นักกฎหมายอดีตอธิบดีกรมอัยการ คุณพระเทศฯของชาวสงขลาท่านผู้นี้มีราชทินนามเต็มว่า ... "พระนิเทศโลหสถาน" ...คุณพระท่านมีนามเดิมว่า "วูดฮัล" ท่านเกิดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๓ ข้อมูลจากท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา ชาวระโนดครูเก่ามหาวชิราวุธเมื่อ ๒๔๘๕ บรรพตุลาการ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเคยเห็นและได้พูดคุยกับพระเทศฯตัวเป็นๆมาแล้ว ทั้งเคยสอนกฎหมายวิชาละเมิดแก่ทายาทบางคนของพระเทศฯ ถ่ายทอดความทรงจำให้ผมฟังและจดมา (ประกอบกับข้อมูลจากความจำของผมในวัยเด็ก)ว่า...พระเทศฯรับราชการในสังกัดกรมราชโลหะกิจราวช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องกับช่วงต้นรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ ประมาณนี้้ คุณพระเป็นชายผิวคล้ำร่างใหญ่ ต่อมาราชการไทยส่งคุณพระมารับราชการที่สงขลา ในตำแหน่งข้าราชการวิสามัญโลหะกิจจังหวัด ทำหน้าที่กำกับดูแลและตรวจตรากิจการแร่ของสงขลาเรา ท่านได้รับเงินเดือนสูงมาก คือ เดือนละ ๒๘๐ บาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนของผู้พิพากษาในขณะนั้น (เงินเดือนของผู้พิพากษาขณะนั้น ๒๔๐ บาท คือ ๓ ชั่งนับว่าสูงมากแล้ว เงินเดือนคุณพระเทศฯยังสูงกว่า) และแน่นอนว่าสูงกว่าเงินเดือนของเสมียนอาวุโสซึ่งรับอยู่ที่ ๒๘ บาท ต่อเดือน ส่วนเงินเดือนครูชั้นผู้ใหญ่นั้นเดือนละ ๘๐ บาท คุณพระเทศฯจึงเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของเมืองสงขลา ชั้นแรกที่ย้ายมารับราชการที่สงขลาท่านเช่าตึกสามชั้นหลังใหญ่เป็นที่พำนัก ตึกหลังนั้นตั้งอยู่ที่หัวมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตรงที่ถนนนางงามตัดกับถนนปัตตานี คุณพระเป็นข้าราชการที่รักการอ่านและรักการศึกษาค้นคว้า ซึ่งต่างกับผมมาก ผมนั้นรักที่จะคว้าความรู้ที่ครูค้นมาได้ ไม่ใช่รัก "ค้นคว้า" เรียกว่ารัก "คว้าค้น" เพราะครูเผลอเป็นไม่ได้เอาเสียเลยชอบคว้ามาทุกครั้ง ...(แต่ก็อ้างอิงแหล่งความรู้นะครับ)...ขณะรับราชการที่บ้านเราท่านมีที่สวนใหญ่แปลงหนึ่ง บริเวณนั้นสมัยที่สงขลายังมีกำแพงเมือง ตรงนั้นเดิมเรียกกันว่า "นอกแพง" เพราะอยู่นอกกำแพงเมือง ที่สวนของท่านตั้งอยู่ระหว่างวัดชัยมงคลกับวัดเพชรมงคล และอาจกินอาณาบริเวณไปทางด้านหลังวัดด้วย วัดชัยมงคลเดิมชื่อว่า "วัดโคกเสม็ด" ส่วนวัดเพชรมงคลเดิมชื่อว่า "วัดโคกขี้หนอน" คำว่าขี้หนอนนั้นไม่ใช่ว่าหนอนมาถ่ายไว้แล้วพระเดินไปเหยียบ ไม่ใช่อย่างนั้น ขี้หนอนเป็นภาษาใต้ดั้งเดิม คือ "กินนร" ที่คู่กับกินรี คำว่า "นอก" คำนี้พวกสงขลาทั้งบ่อยางบ่อพลับใช้กันบ่อย เช่น บริเวณที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลเมืองสงขลา หัวมุมถนนรามวิถีตัดกับถนนปละท่า ใกล้หอนาฬิกาที่แต่เดิมเคยมีนั้น บริเวณนี้เดิมเรียกว่า "นอกเมรุ" เพราะอยู่นอกกำแพงเมือง และเป็นที่ตั้งเมรุเผาศพของเจ้าเมืองกับคนในสกุล "วัดตีนเมรุฯ" ที่ซึ่งผมเคยมีวาสนาได้เป็นเด็กวัดอยู่คราวหนึ่ง ตั้งชื่อนี้ขึ้นก็เพราะอยู่ทางทิศเหนือของเมรุเผาศพเจ้าเมือง "ปละตีนเมรุ"


     (พากันไปเสียไกล...จะกลับมาเรื่องสวนพระเทศฯต่อ ก็ได้เวลาไปทำบุญเสียแล้ว.....เล่าคร่าวๆ ไว้ก่อน ..เอาเป็นว่าสวนของพระเทศฯเป็นสวนใหญ่ คุณพระมีวัวหลายตัวเลี้ยงไว้ที่สวนนี้ โดยมีคนเลี้ยงให้ คนเลี้ยงวัวของท่านก็เป็นชาวลังกา และพูดภาษาอังกฤษได้..เมื่อครูเคล้าอายุประมาณ ๑๑ ปี ครูเคล้า คชาฉัตร ครูดีศรีมหาวชิราวุธ เคยขึ้นนั่งขึ้นนอนบนหลังวัวของพระเทศฯ..ครับ./)......................++++++++.....(ทำบุญแล้ว)...เล่าเรื่องของพระเทศฯต่ออีกสักเล็กน้อย...คุณพระมีลูกหลานที่สงขลาหลายคน และทายาทของท่านบางคนเติบโตขึ้นมีหน้าที่การงานทางด้านการแพทย์ สกุลของคุณพระเทศฯนั้นคือ "วุฒิภูมิ" ซึ่งก็คือชื่อถนนสองสายที่ตั้งอยู่ระหว่างวัดชัยมงคลและวัดเพชรมงคลดังกล่าวข้างต้น...น่าจะประมาณช่วงปลายรัชกาลที่ ๗ คุณพระนิเทศฯได้ออกจากราชการ จะออกเพราะ "ถูกดุลฯ" หรือลาออกของท่านเองไม่แน่ชัด แต่หลังจากหมดสิ้นภาระราชการแล้ว ท่านก็ตั้งรกรากอยู่ที่สงขลานั่นแหละ เพียงแต่ได้ย้ายที่พักไปอยู่ที่บ้านชั้นเดียวที่ถนนสายบุรี ที่บ้านนี้ภรรยาของท่านเปิดเป็นร้านขายกาแฟ ส่วนตัวท่านนั้นนั่งอ่านหนังสือ ท่านมีหนังสือดีๆเป็นจำนวนมาก หนังสือของท่านบางเล่มมีเนื้อหาสำคัญว่า "คนที่เป็นเพื่อนกันต้องไม่ยืมเงินกัน เพราะจะเสียทั้งเงินและเสียทั้งเพื่อน" ยิ่งกว่านั้นคุณพระนิเทศฯอ่านหนังสือแล้วท่านจะจดความรู้ที่ได้มาจากการอ่าน จดไว้ในสมุดหลายเล่มมาก เมื่อท่านอาจารย์เธียรของผมถาม ท่านตอบว่า..."ความรู้ที่จดไว้นี้ ตายไปแล้วเผื่อจะได้ติดตัวไปในชาติหน้า" คุณพระนิเทศฯ ท่านจากไปเมื่อปี ๒๕๐๗ ครับ......พูดถึงเรื่องข้าราชการที่เมืองสงขลาแล้ว ก็ขอเล่าต่ออีกนิดเกี่ยวกับราชทินนามของข้าราชการแห่งเมืองสงขลา คือว่าเดิมนั้นบริเวณตัวเมืองสงขลามี ๒ ตำบล ตำบลบ่อยางตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือ ตำบลบ่อพลับอยู่ทางทิศใต้ แยกตำบลกันที่ประมาณถนนหนองจิกและและถนนเก้าห้อง ถนนเก้าห้องนี้หลังจากการประกวดนางงามก็เรียกกันว่าถนนนางงาม ตำบลบ่อยางมีกำนันชื่อว่า "ขุนประโยชน์บ่อยาง" ชื่อเดิม โผ้เฉี้ยง อุณินฑโร ส่วนตำบลบ่อพลับมีกำนันชื่อ "ขุนบ่อพลับพิศาล" ชื่อเดิม อุหมาด พิศาล สำหรับแพทย์ประจำตำบลนั้นคือ "ขุนอภิบาลบ่อพลับ" ชื่อเดิม ทิ้ง บูรณธรรม ท่านขุนอภิบาลบ่อพลับท่านนี้เป็นคุณตาของอาจารย์ อาภรณ์ สาครินทร์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวรนารีเฉลิม สงขลา โรงเรียนอันเป็นแหล่งศึกษาร่มเย็นในแผนกศิลป์ฝรั่งเศสของผม เข้าใจว่าท่านอาจารย์อาภรณ์น่าจะเคยเป็นผู้พิพากษาสมทบของศาลเยาวชนฯสงขลาด้วย ราชทินนามข้าราชการเมืองสงขลาที่คล้องจอง ก็เช่น "ขุนศิลปกิจพิสัณฑ์ (ผัน ศุภอักษร)...ขุนศิลปกันพิเศษ (แปลก เจริญศิลป์)...ขุนศิลปกรพิศาล...ขุนศิลปการพิศิษฐ์"
     สงสัยว่าผมจะกลับสวนพระเทศฯที่บ้านของป้าเชยได้หรือ?..กลับได้ครับ...เมื่อผมและแม่ไปเยี่ยมป้านั้น มีแต่ชื่อสวนพระเทศฯ สภาพของสวนไม่มีเค้าให้เห็นเสียแล้ว หรือถ้าจะมีก็คงน้อยเต็มที่ เข้าใจว่าหมดสภาพไปเมื่อตัดถนนวุฒิภูมินั่นแหละ "วุฒิภูมิ" เป็นชื่อถนนที่ตั้งขึ้นเป็นอนุสสรแก่คุณพระ เพราะนามสกุลของท่านชื่อว่าวุฒิภูมิ ถนนเส้นนี้ยาวพอสมควร ปลายถนนด้านทิศตะวันออกยังมีสภาพเป็นสวนอยู่เล็กน้อย มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ และค่อนข้างเป็นที่ลุ่ม สองฟากถนนเป็นบ้านไม้สองชั้นหลายหลัง แต่ละหลังงามดูสะอาดตาน่าอยู่ ประมาณปี ๒๕๒๑ มีบ้านตึกหลังหนึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสีเหลืองอ่อนสวยงามมาก เป็นเรือนหอของนักธุรกิจค้าผ้าในตลาด ขณะนี้บ้านหลังงามดังกล่าวก็ยังมีอยู่ แม้ว่าสีจะเก่าหมองลงไปมากแล้ว........++++++....(ที่สงขลานั้นมีผู้สงสัยกันอยู่อีกสวนหนึ่ง คือ "สวนเถ้าแก่" สวนนี้เดิมเป็นของ "เถ้าแก่ยกสั้น" ท่านมีบ้านอยู่ที่บริเวณถนนนางงามตัดถนนยะลา ตัวท่านเป็นคนมีบุคลิกเงียบๆ ซึ่งเป็นธรรมดาของคนดีมีฐานะ เพราะไอ้ที่หนวกหูดังรำคาญจะช่วยเหลือพาลชนคนทุจริตอย่างที่เป็นอยู่เช่นในปัจจุบันนั้น ส่วนมากแล้วน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เถ้าแก่ยกสั้นมีสวนอยู่ที่บริเวณทิศใต้ของวัดโพธิ์ฯ ครูเคล้าเจ้าของวลี Today is chatpring day เคยพูดขำๆว่า ..."เถ้าแก่คนนี้แปลกดี จะยกทั้งที พันพรื้อที่ไม่ยกเสียให้ยาว"...)
     การได้เข้าเมืองครั้นนี้เหมือนกับว่าตัวผมได้เปิดโลกกว้าง โลกที่ไม่ได้มีแต่ทุ่งนา ต้นตาล ปากบางเชิงแส และความสุขจากการเล่นน้ำในทะเลสาบสงขลา เท่านั้น แต่เป็นการได้พบเห็นโลกที่มีความเจริญโดยเฉพาะทางการศึกษา ผมได้เห็นโรงเรียน "วิเชียรชม" โรงเรียน "มหาวชิราวุธ" ซึ่งรั้วซีเมนต์มีป้ายชื่ออักษรสีชื่อของโรงเรียนสีน้ำเงิน โรงเรียนทั้งสองดังกล่าวเป็นสถานที่เรียนของพี่ชายผม อีกทั้งผมได้เห็น "ตึกเคฯ" หลังงามในวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ ซึ่งวิทยาลัยการช่างชั้นสูงของภาคใต้แห่งนี้ในขณะนั้นพี่ชายของผมกำลังเรียนอยู่ในแผนกสถาปัตยกรรม พี่ชายของผมคนนี้เข้าเรียนที่แผนกสถาปัตย์ฯ เป็นรุ่นที่ ๒ ของวิทยาลัย นอกจากนั้นผมได้เห็นศาลจังหวัดสงขลา ได้เห็นศาลเด็กฯและได้เข้าไปในเขตศาลเด็กด้วย ...เข้าไปเฉพาะเขตศาลนะครับ เขต "หรางเด็ก" ไม่เกี่ยวกัน ไม่ได้เข้าไป...(...อันที่จริงคุกหรือตะรางนี่ดูแล้วมีค่าน้อยน่ารังเกียจก็จริง แต่ต่อให้มีเงินหรือมีการศึกษาสูงแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปเดินเล่นได้นะครับ..จะขอเข้าไปเที่ยว หรือขอเข้าไปกินข้าวสักมื้อขอกันง่าย ๆ ไม่ได้ หรือหากได้เข้าไปแล้ว จะออกกันได้ตามใจชอบก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะครับ...จึงสรุปว่าคุกตะรางเป็นสถานที่สำคัญอยู่ไม่น้อย จะเข้าจะออกตามอำเภอใจไม่ได้..++/..เดิมเมื่อสมัยแต่แรก ที่เมืองสงขลามีสถานที่มีบริเวณที่ใช้เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษอยู่ที่หนึ่ง คือ บริเวณที่ซึ่งปัจจุบันทุกวันนี้เรียกว่า "วชิรา" ด้านทิศใต้ของศาลเด็กฯ ตรงนั้นมีศาลาหลังคาสังกะสีอยู่หลังหนึ่งด้วย เป็นที่ให้พระเทศน์ให้นักโทษฟัง และให้นักโทษประหารกินข้าวมื้อสุดท้าย ก่อนที่จะตัดคอประหารชีวิตกัน.../อย่างไรก็ตาม การประหารชีวิตนักโทษที่มีชาวสงขลาร่วมกันมุงดูมากที่สุด ไม่ใช่การประหารที่วชิราหรอกครับ แต่เป็นการประหารกลุ่มนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ที่ร่วมกันก่อกรรมเลวต่ออาจารย์สมนึกและอาจารย์ศิริพร ผมขอเว้นชื่อกลุ่มนักโทษกลุ่มนี้ไว้ ..)การที่ผมได้ชมเมืองสงขลาครั้งนั้นก็โดยมีพี่ๆลูกของป้านำเที่ยวประมาณนั้น และทุกครั้งที่พี่ๆนำผมออกจากห้องพักของป้าที่โรงพยาบาล ทุกคนต้องเตือนผมเสมอว่า "อย่าลืม..เกือก" ต้องเตือนกันก็เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เท้าของผมมีภาระต้องใส่สิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่ารองเท้า มีอยู่บางครั้งเมื่อเดินออกมาถึงใต้ต้นราชพฤกษ์หน้าโรงพยาบาลสงขลาแล้วผมบอกให้พี่ๆรอ เพราะผมลืมเกือก อยู่บ้านนอกบ้านนาหนังเท้าหนาเสียเคยชิน...คิดไปแล้วสภาพของผมในช่วงนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับ "นายเถื่อนเป็นนายเมือง"...และที่ได้เป็นนายเมืองที่สุดสำหรับผมนั้น น่าจะเป็นเพราะได้ไปเที่ยวที่สวนเสรีข้างเขาน้อย กับได้ถ่ายรูปที่แหลมสมิหลา...นั่นเอง...อย่างไรก็ตาม จะกล่าวให้ชัดแจ้งลงไปแล้ว ผมคิดว่าภาพที่มีส่วนในการกระตุ้นความคิดของผมมากที่สุด มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก คือ ...ผมได้เห็นภาพถ่ายของผู้ที่ได้รับปริญญาที่ร้านถ่ายรูปในตลาดเมืองสงขลา...ผมไม่ได้รู้เองหรอกว่าเป็นรูปผู้ได้รับปริญญา รู้จากพี่ๆและป้าบอก ป้านั้นย้ำผมนักหนาว่าต้องเรียนหนังสือให้มากๆ จึงจะได้รับปริญญา.....ส่วนเรื่องที่ ๒ คือ ในระหว่างอยู่ที่สงขลาญาติพี่น้องได้นำผมไปเยี่ยมญาติที่อำเภอจะนะ ผมได้นั่งรถเท็กซี่ผ่านวงเวียนน้ำพุ และสนามบินสงขลา ผมจำได้ติดตาเมื่อมองผ่านคันคูและรั้วลวดหนามเข้าไป จำติดตาว่า ขณะที่ฝนกำลังตกผมเห็นเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ที่สนามบิน เป็นครั้งแรกในชีวิต(อีกแล้ว)ที่ผมได้เห็นเครื่องบิน..เกี่ยวกับเรื่องสนามบินที่สงขลานั้น มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องโจรปล้นเงินของธนาคารเอเชีย สาขาหาดใหญ่ ที่นำจากกรุงเทพฯ มาโดยเครื่องบิน มาลงที่สงขลาเพราะขณะนั้นที่หาดใหญ่ยังไม่มีสนามบิน โจรคนหนึ่งได้รับเงินส่วนแบ่งแล้ว ไม่รู้จะเก็บ "หยบ" เงินไว้ที่ไหน จึงนำไปซ่อนไว้บนยอดต้นมะพร้าว เช้าขึ้นมาไปแหงนดู จนเป็นพิรุธในที่สุดก็ถูกจับได้

(วันเปิดศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลาเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๕ ,ภาพจากหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระยาอรรถการีย์นิพนธ์)

(พระยาอรรถการีนิพนธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้พิพากษาและเหล่าผู้พิพากษาสมทบชุดแรกของศาลเด็กสงขลา ,ภาพจากหนังสือเล่มเดิม)

(ตึกเคหะศาสตร์ ในวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ ตั้งอยู่ไม่ไกลนักกับศาลเด็กสงขลา ,ภาพจากกระทู้ใน Web กิมหยงฯ )
     สุดท้ายสำหรับนายเถื่อนที่กำลังจะเป็นนายเมืองอย่างผม ที่ต้องเล่าไว้ก็คือ ช่วงเย็นๆ ผมเดินเล่นที่บริเวณโรงพยาบาลสงขลา ผมพบว่าชื่อของตึกที่มีห้องพิเศษของป้านั้น มีชื่อว่าตึก "ยุคลทิฆัมพร" ชื่อนี้ไม่เพียงแต่พิเศษที่มีห้องพักผู้ป่วยของป้าเท่านั้น แต่สำหรับผมแล้วพิเศษตรงที่ ผมต้องใช้เวลานานเป็นพิเศษกว่าที่จะอ่านออก...เมื่ออ่านออกแล้วจึงเห็นควรเล่าพระกรณียกิจของเจ้านายชั้นสูงพระองค์นี้ ที่ทรงมีต่อชาวสงขลาพอเป็นสังเขป...เล่าเสร็จแล้วก็จะได้กลับบ้านเชิงแสเสียที...+++...ชาวสงขลารุ่นเก่าๆนั้นหากเอ่ยพระนามถึง "สมเด็จฯ" แล้ว ย่อมเป็นที่ทราบที่รู้กันว่าหมายถึง "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์" พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับ พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ "สมเด็จฯ" ท่านทรงเป็นอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ทรงสำเร็จราชการ ๓ มณฑล ทั้งมณฑลนครศรีธรรมราช(ที่ว่าการมณฑลตั้งอยู่ที่สงขลา) มณฑลปัตตานี และมณฑลสุราษฎร์ ขณะที่พระองค์ประทับที่สงขลาทรงโปรดเลี้ยงกวางด้วยนะครับ คอกกวางของพระองค์อยู่ป่าสวนหมากใกล้วัดไทรงาม (ตรงนี้เดิมเรียกว่าบ้านป่าหมาก)...+++...จะกล่าวไปแล้วจังหวัดสงขลาของเราได้รับพระมหากรุณาจากพระบรมวงศ์ชั้นสูงเสด็จมาปฏิบัติพระกรณียกิจอยู่เสมอมา และบางคราวก็ทรงหลีกลี้ภยันตรายทางการเมืองมาทรงพำนักที่จังหวัดของเรา กล่าวเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เสด็จฯเมืองสงขลานั้นเริ่มตั้งแต่การเสด็จฯของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ต่อจากนั้นเมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็เสด็จประพาสเมืองสงขลาถึง ๙ คราว ระหว่างที่ประทับ ณ เมืองสงขลา ได้เสด็จฯ เหยียบศาลมณฑลนครศรีธรรมราช ณ เมืองสงขลา ถึง ๓ ครั้ง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์เสด็จฯ เหยียบศาลที่เมืองสงขลาหนึ่งคราว เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๕๘ โดยพระองค์ประทับบัลลังก์ศาลทรงฟังพระยาทุษยันต์รังสฤษดิ์ (ทองคำ กาญจนโชติ,ต่อมาเป็นพระยาศรีธรรมราช,เจ้าของผู้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนหวังดี) อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลฯ และหลวงราชปรีชา (เชื้อ กฤษณมิตร)พิจารณาคดีคนร้ายลักกระบือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ชกาลที่ ๗ นั้น เมื่อฝ่ายรัฐบาลสู้รบชนะฝ่ายของพระองค์เจ้าบวรเดชที่หินลับแล้ว วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระราชินี และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงหลายพระองค์ เสด็จฯลงเรือพระที่นั่ง "ศรวรุณ" ฝ่าคลื่นฝ่าล้มเสด็จฯมาประทับที่สงขลาถึง ๔๙ วัน การครั้งนั้นฝ่ายรัฐบาลระแวงข้าราชการที่รับเสด็จ ไม่นานนักทางการท่ี่กรุงเทพฯ ก็ได้จับกุมหลวงประกอบนิติสาร (ประกอบ บุณยัษฐิติ) อธิบดีผู้พิพากษาศาลฯที่สงขลา เข้าคุกและดำเนินคดี ...ข้อหานั้น ...พูดกันตรงๆ ก็คือข้อหาที่คุณหลวงประกอบฯ ท่านมีความจงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗..หลวงประเวศวุฑศึกษา (ประเวศ จันทนยิ่งยง)อาจารย์ใหญ่มหาวชิราวุธของเรา ก็โดนย้าย...ต่อมา...ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จสงขลาครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๒ ปีนั้นผมยังไม่เกิด ยังอยู่ในชาติก่อน จึงระลึกไม่ได้ว่าได้เข้าเฝ้าฯหรือไม่ คงจะไม่ได้เข้าเฝ้าฯหรอก แต่ในชาตินี้นั้นจำได้ครับ..จำได้ว่าตัวผมเคยเฝ้าฯรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คราวที่พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ เสด็จฯ มาสงขลาบ้านเรา ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อปี ๒๕๒๐ ป้าเชยและพี่ๆ นำผมไปที่ค่ายรามฯ ถนนไทรบุรี ยังจำได้ติดตาถึงภาพและเส้นทางที่พระองค์ล้นเกล้า และทูลกระหม่อมพระราชธิดา ทรงพระดำเนินเลี้ยวอ้อมพระบรมราชานุสาวรีย์ไปทางด้านทิศใต้ ก่อนที่จะทรงประกอบพระราชพิธี.../

(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถคราวเสด็จฯเหยียบศาลจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๒ ..ในภาพผู้เฝ้าฯอยู่นั้น คือ ท่านอธิบดีผู้พิพากษา พจน์ บุษปาคม ,ภาพจากกองสารนิเทศฯ สำนักงานศาลยุติธรรม)

     หอมกลิ่นทุ่ง
     จากนายเถื่อนเกือบจะเป็นนายเมืองอยู่ได้ประมาณ ๒ สัปดาห์ ผมก็กลับบ้านมาเป็นนายเถื่อนตามเดิม...+++...เมื่อกลับมาถึงบ้านที่เชิงแสมีเพื่อนๆหลายคนมาหาผม ผมมีของฝากที่สำคัญมาให้เพื่อนๆ นั่นคือ กระป๋องนมเปล่าซึ่งที่เชิงแสนับว่าเป็นของที่หายากมากทีเดียว เพราะเด็กเชิงแสอย่างพวกเราส่วนใหญ่ที่เติบโตกันมานั้น ไม่ได้มาจากได้ดื่มนมหรอกครับ ดื่มกันแต่ "น้ำหม้อ" เนื่องจากหุงข้าวเช็ดน้ำ น้ำหม้อที่รินมาหลังจากที่ข้าวเดือดแล้ว ก็นำมาใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ยกขึ้นซดยามหน้าฝนอย่างนี้อร่อยร้อนเป็นทางลงไปถึงพุงถึงท้อง ระหว่างนั่งดื่มน้ำหม้อ แม่ก็จะให้เฝ้าหน้าเตาคอยดูว่า "ข้าวที่ดง" ไว้สุกดีสุกทั่วแล้วหรือยัง หากสุกยังไม่ทั่วก็จับหูหม้อหุงข้าวบริเวณที่มี "ไม้ขัดหม้อ" ขัดอยู่ แล้วยกตะแคง "ดง" จนข้าวสุก หากเบื่อน้ำหม้อผสมเกลือ ก็นำ "น้ำผึ้งแว่น" มาใส่ปากเกร็ดไปพลางดื่มน้ำหม้อไปพลาง...ก็อร่อยดีเหมือนกัน...กระป๋องนมที่ผมได้มานั้นเอามาทำรถไว้ลุนเล่นเข็นเล่นเมื่อถึงหน้าแล้งสนุกมาก...(มีเวลาจะวาดภาพให้ชม)...ส่วนหน้าฝนอย่างหน้านานี้ ยังเล่นรถไม่ได้ ...ต้องเล่นเรือที่ทำด้วย "นกพร้าว"...แต่ช่วงนี้ยังไม่ได้เล่นเพราะต้องช่วยแม่ทำนา

     ยามหน้านาของชาวเชิงแสนั้น ก่อนออกพรรษาต้นข้างสูงเลยเข่าแล้ว น้ำในนาก็เริ่มมากขึ้นเพราะฝนตกทุกวัน "...ถึงฝนจะตก ถึงฟ้าจะร้อง ถ้าไม่ได้เห็นหน้าน้อง พี่แทบละเมอ ละเมอ" นั่นเป็นเพลงของศรคีรี ศรีประจวบ นะครับ แต่สำหรับชาวเชิงแสแล้ว จะมาร้องเพลงอยู่ไม่ได้ ต้อง "คลุมผ้ายาง" ไปทำนา อยู่กันที่ในนา ซ่อมข้าว ตัดหญ้า ตัดข้าวผี ที่ในนาให้วัว เที่ยงวันตอนไหนบางวันก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นหวันไม่เห็นตะวัน รู้สึกตัวก็เมื่อเนือยหิวแล้ว "ขึ้นเที่ยง" ได้ก็ตั้งวงกินข้าวใต้ต้นตาลบนคันนานั่นแหละ น้ำฝนไหลไต่ใบโหนดลงมาในจานข้าวบ้าง ในปิ่นโตที่เรียกว่า "ชั้น" ที่ใส่แกงบ้างไม่ถือกันเพราะเป็นเรื่องปกติ ทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินจริงๆ ทุกคนทั้งผมทั้งแม่ทั้งพ่อเปียกชุ่มทั้งตัว เรียกว่า "วันยังค่ำ" อยู่แต่ในนา หากวันไหนลมพัดแรง แม่จะบอกว่า "หมผ้ายางให้แน่นๆ เสียตะลูก หมให้แน่นนะลูกเหอ จะได้ไหม้เย็น" (อ่านว่า.จะได้ไม่เย็น.) ทำนาหน้าฝนอย่างภาคใต้ที่ฝนตกชุกทั้งวันแม้จะไม่ร้อน แต่ก็ลำบากมาก...แม่และพ่อช่วยกันดูแปลงนาว่านาบิ้งไหนบริเวณไหนตรงไหนที่ใดมีข้าวห่าง ก็จะไปถอนข้าวตรงที่แน่นมา "ซ่อม" วิธีไปถอนข้าวแน่นมาซ่อมข้าวห่างนั้น แม่จะแบ่งคราวละครึ่งวัน คือว่า "งายเช้า" แม่จะถอนแบ่งข้าวที่แน่นเหมือนการถอนกล้า มัดเรียงแช่น้ำเป็นกำๆ ส่วนมากแล้วได้ไม่เกินงายละ ๕ กำ เพราะถอนแบ่งข้าวอย่างนี้ต้องระวังไม่ให้กระเทือนถึงต้นที่คงไว้ นอกจากนั้นเมื่อเจอหญ้าบ้าง โสนบ้าง ข้าวผีบ้าง หรือข้าวต่างพันธุ์ ก็ต้องถอนไปด้วย ได้ข้าวซ่อมแล้วต้องตัดปลายใบกล้าให้เสมอกัน เมื่อวางเรียงไว้ในน้ำในนาแล้วดูงามดี จากนั้นก็อุ้มกำกล้าเดินซ่อมไปเรื่อยๆ ผมเคยถามแม่ว่า "แม่ตัดปลายใบเสียไซร่ ปล่อยไว้ให้ยาวๆ ข้าวจะได้โตไวๆ" แม่ตอบว่า "ข้าวที่ปักซ่อมหรือดำใหม่ๆ ต้องตัดปลายใบ ต้นข้าวเพิ่งปลูกถูกลมแรงๆ จะล้มเสียเหม็ด" ปลายใบที่ตัดนั้นไม่ได้ตัดทิ้งหรอก ตัดแล้วผมมีหน้าที่เอาไปให้วัวกิน หน้าฝนอย่างนี้วัวทุกตัวยืนนิ่งอยู่ที่ "โคกหนำ" น่าสงสารมาก พวกมันรอพ่อตัดหญ้าและสับลูกโหนดให้กินเมื่อถึงช่วง "หวันไซ้" คือช่วงบ่ายๆ คำว่า "ไซ้" หมายถึงเวลาบ่าย ผมอ่านพบในสมุดไทยเดิมเรื่องกัลปนาฯ ก็ใช้คำว่า "ไซ้" เหมือนกัน และมีอีกคำหนึ่ง คือคำว่า "เลิกพระศาสนา" แปลว่า "ยกหรือฟื้นฟูศาสนา" เมื่อผมยังเป็นเด็กที่เชิงแสบ้านผม หากจะหาจิ้งหรีดในขี้ไถในนามาเล่นกัน ก็ต้อง "ไปเลิกขี้ไถในปาขี้ไถ หาจิ้งหรีด" คือไปยกก้อนขี้ไถในนาหาจิ้งหรีด หามาได้แล้วมันไม่ส่งเสียง "กริ๊ด ๆ ๆ" ก็ใช้วิธีเป่าท้ายจิ้งหรีด นึกถึงชีวิตวัยเด็กแล้ว บางช่วงเวลาก็ทำบาปทำกรรมเสียจริงๆ.....++++.....ทุกวันนี้มีอายุมากขึ้น เมื่อต้องตรวจร่ายกายประจำปีคราวใด ได้แต่ภาวนาอย่าให้ต้องถูกหมอตรวจก้นหาโรคเลย ที่กลัวก็เพราะนึกถึงกรรมที่ทำไว้กับจิ้งหรีดเมื่อยังเป็นเด็ก จิ้งหรีดที่ถูกพวกเราเป่าก้น อาจจะรอให้พวกเราถูกหมอตรวจก้นก็เป็นได้...

   

     หลังจากที่ฝนตกติดต่อกันมาหลายวัน เช้าวันเสาร์นี้ฟ้าเปิดแล้ว ฝนขาดเม็ดลงอย่างสนิท ให้ต้นข้าวได้รับแสงแดดและอากาศสดใส กล้าข้าว ทุ่งนา และป่าโหนด อวลกลิ่นหอม เป็นกลิ่นทุ่งที่หอมเย็นสดชื่นอย่างน่าพิศวง น้ำใสในนาสะอาดเมื่อเพ่งมองก็จะเห็น ต้นอ่อนของพืชน้ำจำพวก "หวา" หรือสันตะวา "ผักริ้น" "ขี้ไต้" ตะไคร่น้ำ ที่ชาวเชิงแสเรียกว่า "ไคร" เริ่มแตกหน่อระรวยใบอยู่ใต้น้ำ ปูนาตัวเขื่องท่ี่ผมและเพื่อนๆ เรียกว่า "ไอ้หิน" คลานผ่านกอข้าวต้นเก่าตรงมายังกอข้าวใหม่ที่แม่เพิ่งซ่อมได้ไม่นานนัก ไอ้หินใช้ก้ามใหญ่คีบแล้วถอยตัวดึงโยกต้นข้าว จนมวลดินใต้กอข้าวเริ่มขุ่น ม้วนตัวขึ้นมาเกือบถึงผิวน้ำ ผมนั่งมองเงียบๆอยู่ที่หัวนา ...ไม่ได้การแล้ว...ไอ้หินเริ่มจะถอนต้นข้าวได้ ...ว่าแล้วผมค่อยๆเอื้อมมือลงไปจนใกล้ถึงผิวน้ำแล้วตั้งวงนิ้วดีดน้ำ ...ผลุ้ง..เสียงดีดน้ำดังจนไอ้หินตกใจ รีบคลายก้าม แล้วคลานหนีโดยเร็ว ทิ้งรอยเท้าเป็นเส้นและหมวนน้ำไว้เบื้องหลัง.....นับว่าเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำของผมเสมอมา...สมัยเป็นนักเรียนมัธยมเคยเขียนพรรณาโวหารเรื่องที่ผมแกล้งไอ้หินเรื่องนี้ส่งอาจารย์เสียด้วย

     การจับปูหาปลานั้นเป็นเรื่องคู่กันกับเด็กบ้านนอกบ้านนา แต่เมื่อจะจับปูก็ต้องระวังก้ามปูหนีบมือ อย่างปูตัวโตเช่นไอ้หินนี้หนีบมือเจ็บมาก ไอ้โอ่งอ่างก็เป็นปูตัวใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่หนีบเจ็บ อาจจะสงสัยว่าปูนาทั้งสองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร ต่างกันชัดมากครับ คือ ไอ้หินที่กระดองมีลายขาวพาดสวยงาม ส่วนไอ้โอ่งอ่างกระดองสีน้ำตาลม่วงและออกจะเตี้ยกว่า ก้ามปูนาทั้งสองชนิดนี้ใหญ่เนื้อแน่นกินอร่อย จะต้มกินหรือเผากินก็อร่อย แต่ถ้าเผาก้ามปูกินก็จะตื่นเต้นกว่า ตื่นเต้นตอนที่ได้เห็นน้ำ ปุด ปุด ออกมาจากข้อต่อก้ามปู พี่สาวคนรองของผมแนะนำวิธีแก้ปูหนีบมือว่า...เมื่อถูกก้ามปูหนีบ "น้องบาว อย่าทกออก ถ้าทกออกจะเจ็บ เนื้อขาดได้ แต่ให้วางปูลงที่พื้น ปูหมันจะอ้าก้ามออก แล้วรีบคลานหนี เราถึงค่อยจับใหม่" นี่คือความรู้ชั้นยอด คำว่า "ทก" เป็นภาษาใต้คำเก่า แปลว่า ดึง ปูนานั้นนอกจากจะกินก้ามแล้ว ชาวเชิงแสบางคนที่ขยันจับปู ก็ทำมันปูขาย โดยเอามันปูเหลืองๆ ที่กระดองของปูมาต้มทำเป็นมันปู อร่อยมาก แม่ก็เคยทำ แต่นานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่แล้ว แม่ซ้ือมาจาก "นัดหัวโคก" คือตลาดนัดที่สนามโรงเรียน ซึ่งมีสองวัน คือ วันอังคารและวันเสาร์ มันปูนี้ซื้อสักห้าสิบสตางค์ก็พอกินกันทั้งครอบครัวแล้ว เงินห้าสิบสตางค์ดังกล่าวยายและแม่เรียกว่า "โขก" ...๑ โขก เท่ากับ ห้าสิบสตางค์...++++++.....บ่ายวันนี้ กลับจากนาที่ขวางหวันแล้ว เพื่อนๆ สามสี่คนชวนกันไปตกปลาในนา คนหนึ่งถือจอบมาว่าจะขุดไส้เดือน เอาไปเป็นเหยื่อตกเบ็ด แต่ถูกผู้ใหญ่ห้าม เพราะฝนเพิ่งหยุดตก ไม่ให้ขุดที่ใกล้บ้าน แม่เคยแนะนำว่าให้ใช้ "ยางข่อย" เป็นเหยื่อเบ็ดแทน ตกลงเป็นอันว่าวันนี้พวกเราจะใช้ ยางข่อยเป็นเหยื่อ...ระหว่างทางไปตกปลาในนาที่ "สวนตีน" ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน พวกเราเดินร้องเพลงกันไปพลาง เน้ือเพลงมีว่า ..."ขึ้นเขา ไปเก็บกล้วยเถื่อน กลับมาถึงเรือน ขุดเดือนทงเบ็ด ไม่ทันถึงหนอง เดือนพองเพร็ดๆ ไม่ทันถึงหนอง เดือนพองเพร็ดๆ มือซ้ายถือเบ็ด มือขาวเด็ดเดือน"...

     เมื่อตกลงว่าจะใช้ยางของต้นข่อยเป็นเหยื่อปลา ดูเหมือนง่ายๆ ก็จริงอยู่ เพราะที่สวนตีนของบ้านเชิงแสนั้น ทุกสวนมีต้นข่อยต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น เริ่มจากที่ขอบ "สระตีน" ตรงด้านมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตรงนี้มีต้นข่อยใหญ่พอควรอยู่ต้นหนึ่ง หน้าร้อนแต่ละคราวลูกข่อยสุกเหลืองใสเหมือนแก้วพราวเต็มต้น ผมและเพื่อนๆ ไม่มีอะไรกินเล่น ก็ขึ้นไปกินลูกข่อยสุกต้นนี้ เพราะอยู่ใกล้บ้าน ที่นาสวนของแม่ก็มีต้นข่อยใหญ่ ใช้มีดสับยางออกมาได้ง่าย แต่วันนี้อาจพบปัญหาเสียแล้ว เพราะการใช้ยางข่อยเป็นเหยื่อปลานั้น จะใช้เฉพาะยางข่อยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ไข่มดแดงหรือตัวมดแดงผสม แล้วปั้นเป็นก้อนเกี่ยวตาเบ็ด วันนี้หน้าฝนและบ่ายมากแล้ว หาไข่มดแดงไม่ทัน เพื่อนผมคนหนึ่งแนะนำว่า หา "ปูสองดอง" มาทำเหยื่อดีกว่า ....ใช่แล้วครับ...บ่ายแก่ๆนี้ ตกลงว่า จะหาปูสองดองกัน ปูสองดองหรือปูสองกระดองเป็นปูที่เพิ่งลอกคราบ ทำเหยื่อเบ็ดได้ดี ปลาหมอชอบนัก

     ชวนกันตกปลาในนาข้าว เป็นความสนุกกันเสียมากกว่าที่จะให้ได้ปลาจริงๆ จนตะวันบ่ายมากแล้ว จึงพากันไปดื่มน้ำที่บ้านของปู่ปุ่น ย่าดำ จ้ายมะโน ทั้งสองท่านให้ความเอ็นดูผมและเด็ก ๆ มาก ทั้งสองท่านอยู่กันสองเฒ่าสองแก่ ไม่มีลูก และชอบทำบุญเป็นที่สุด เคยบริจาคเงินซ่อมสะพานใหญ่ข้าม "คลองควายอ่าง" กล่าวเฉพาะย่าดำนั้นเมื่อผมรับประกาศนียบัตรเนติบัณฑิตที่สวนอัมพร กรุงเทพฯ ก็มาร่วมแสดงความยินดีกับผม ...ปู่ปุ่นเห็นพวกเรามาถึงบ้านกลางนากลางทุ่ง ให้ดื่มน้ำแล้ว ก็เล่านิทานเรื่องปูให้ฟัง ว่า..."ตาแก่ใจบุญคนหนึ่ง ญาติให้ปูมาหลายตัว ตาจะต้มปูกิน แต่ก็กลัวบาป จึงตั้งจิตว่า เราจะตั้งกะทะต้มน้ำ แล้วใช้ไม้พาดที่ขอบกะทะ ให้ปูไต่ไป ตัวใดไม่ถึงคราว ก็จะไต่ข้ามได้ไม่ตกลงในน้ำต้ม ปรากฏว่า ปูที่ตัวเล็กไต่ถึงกลางไม้ ก็ตกลงไปทุกตัว เหลือไอ้หินตัวสุดท้ายที่ก้ามใหญ่ ไอ้หินไต่ข้ามได้ ตาจับไอ้หินมา แล้วพูดว่า ...เจ้าไต่ข้ามได้ เพราะตัวโตกว่าเพื่อน จะให้ไต่ครั้งเดียวหรือ ฉันก็เกรงว่าจะไม่ยุติธรรมสำหรับปูตัวใหญ่อย่างเจ้า"...ไอ้หินก้ามใหญ่จึงต้องไต่สองครั้ง..........ปู่มีนิทานสนุกและให้ข้อคิดมาเล่าอยู่เสมอครับ ..ก่อนกลับบ้านผมเห็นปู่ไอและดูเหนื่อย จึงถามปู่ว่า "โปไม่บายเหอ" ปู่ตอบว่า "หน้าฝน ไม่ค่อยบาย ฝนหยุดแล้ว หายหวัดกลับเป็นหอบเล่า แต่ไม่พรื้อแล้ว แรกเช้าไปวัดมา พ่อท่านให้ยาแก้หอบมาแล้ว" ..."ยาไหรโป?" ผมถามปู่ว่าพ่อท่านให้ยาแก้หอบเป็นยาอะไร..ปู่ปุ่นตอบว่า ..."ยาแก้หอบนั้น พ่อท่านว่า ให้..วาง..เสีย จะได้ไม่พักเที่ยวหอบอยู่"

(ย่าดำในงานบวชของผมเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ย่าดำนั่งที่ม้าหินติดกับพ่อที่ยืนอยู่ ด้านซ้ายมือของย่าดำเป็นย่ามาก และที่นั่งถัดจากย่ามากไปก็คือแม่ ระหว่างผมกับพ่อ คือ ลุงเห้ง ช่วยไล่ บ้านโคกพระ ลุงเห้งเป็นญาติของพ่อ พ่อเรียกว่า "เพนเห้ง" คำว่า "เพน" น่าจะมาจาก "พี่เณร" เป็นคำที่พ่อใช้เรียกผู้ที่เป็นรุ่นพี่ เช่น "เพนอิ่ม" "เพนปุ่น" ฯลฯ พี่เณรนั้นผมสันนิษฐานของผมเองอย่าเพิ่งเชื่อนะครับ...ภาพนี้ถ่ายภาพที่กุฏิกลางน้ำกลางทุ่งวัดเอก....บวชคราวนั้นผมจำพรรษาอยู่ครบษา จำวัดที่กุฏิหลังนี้กับท่านเจ้าคุณมนัสท่านเจ้าอาวาสพระนักพัฒนา แห่งบ้านเชิงแส)

     เย็นยามที่เดินตามหัวนากลางทุ่งข้าวเช่นเย็นนี้ กลิ่นทุ่งสวนตีนบ้านเชิงแส หอมทั้งกลิ่นทุ่งนา ดอกกล้วยผี ดอกเหมร และดอกลำเจียกข้างศาลาสระข่อยที่เรียกว่า "หลาสระข่อย" อีกทั้งดอกนมแมวก็ส่งกลิ่นหอมเคล้ารื่นริน พวกเราเด็กๆ ต่างพูดกันว่าดอกนมแมวหอมมากเวลาวัวเข้าคอก...แต่เรียวนมแมวนั้นใช้ตีเจ็บมาก พอกับหางปลากระเบน....+++++....ฝนหยุดตกได้ไม่กี่วันเมื่อถึงเดือนสิบสอง เดือนอ้าย เดือนยี่ ฝนภาคใต้ตกหนักอย่างต่อเนื่อง ต้นข้าวตั้งท้องแทงดอกออกรวงงามยามหน้าฝนหน้าน้ำ....ครั้นถึงกลางเดือนยี่ไปจนเดือนสามฝนจึงหยุดตก ข้าวพันธ์ุหนักสูงเหนือหัว สุกเหลืองเป็นทุ่งทองใต้ทิวแถวต้นตาล.......++++..."หน้าเก็บข้าว" ...เริ่มแล้ว...บ้านเชิงแสทั้งข้าวทั้งปลาในนาสมบูรณ์อุดม บางคนเริ่มทำ "หลุมวิ่ง" เพื่อจับปลาช่อน ปลาดุกนา และปลาหมอ ต่อไปเมื่อเสร็จจากหน้าเก็บข้าวก็จะได้ "จับลูกคลัก"....และ "หวดนก"...กันแล้วครับ.....+++++/.....

(ภาพพานอรามาของทุ่งเชิงแสซึ่งจิตรกรได้วาดไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา...แม้จำเนียรกาลผ่านเวลามาสามกรุง นับหลายร้อยปีแล้ว แต่ความงามของท้องทุ่ง วัดวาอาราม ทั้งหมู่บ้านชุมชน ก็ยังคงมีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ...,ภาพตามเข็มนาฬิกา...จาก "วัดเชิงแสพระครูเอก", "โพธิ์ดอรขรี" หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า ดอนโพธิ์ , "วัดพระไจยดีงาม" "เขารัชปูน"...ฯลฯ...ยังมีอยู่ครบ...เสียดายก็เพียง "วัดทเยา", "บ้านนางสีมา", "บ้านหลวงสีสังยศ" , "บ้านหลวงพรมหัวงาน" "บ้านเชิงแส กลางทุ่ง" และ"คลองพระ"...ซึ่งหากหมู่บ้านคามสถานเหล่านี้ยังมีอยู่ ผมเชื่อเหลือเกินว่า คนยุคปัจจุบันจะรับรู้เรื่องราวและสังคมในอดีตได้อีกมาก ผมคิดในใจสมมุติว่า หมู่บ้านกลางทุ่งเหล่านี้หากยังมีอยู่ก็คงเทียบได้กับ "บ้านโคกแห้วน้ำโอและวัดโคกแห้ว" กระมัง และอนุชนของหมู่บ้านเหล่านั้นบางคน อาจจะมีความรู้ขั้นสูงได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นราชบัณฑิต เหมือนเช่น ท่านราชบัณฑิตณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ...แห่งบ้านโคกแห้ว ตำบลโรง ก็เป็นได้)

     หน้านาเก็บข้าวปีนี้ดังเช่นแทบทุกปีที่ผ่านมา ข้าวในนาสุกเหลืองอร่ามทุ่งพร้อมกับที่น้ำนาลุ่มยังสูงเกือบถึงเข่า...+++...ก่อนถึงหน้า "เก็บข้าว" ทุกคืนช่วงหัวค่ำจะได้ยินเสียงครกตำข้าวกันหลายบ้าน เป็นการ "ตำเหม้า หรือ ทิ่มเหม้า" คือตำข้าวเม่านั่นเอง แม่ไม่ได้ตำข้าวเม่าที่บ้าน แต่ตำกันที่บ้านสวนของย่าดำ แม่กลับมาตอนไหนไม่ทราบ ผมหลับไปแล้ว ตื่นเช้าขึ้นมาเพราะเสียงแม่ขูดมะพร้าว ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแล้วแม่ "ขูดพร้าว" เสร็จพอดี ผมจึงนำ "เหล็กขูด" ไปเก็บ แล้วนั่งรอดูแม่ทำข้าวเม่าคลุกมะพร้าว จนจบลงท่ี่แม่พรมน้ำเกลือลงไปในกะละมังข้าวเม่า กะละมังนี้ที่บ้านผมเรียกว่า "โคม" (ไม่ใช่ "Comb" นะครับ) พรมน้ำเกลือแล้วแม่ก็ตักใส่ถ้วยไว้ถ้วยหนึ่งรอใส่บาตร ซึ่งช่วงนี้ออกพรรษาไปนานแล้ว ที่วัดกลางไม่มีพระพอ "ยืนบาตร" ดังนั้นช่วงนี้ผู้ที่มายืนบาตรแทนพระ คือ "ลุงหลง" ข้าวเม่าอีกถ้วยหนึ่งแม่ตักให้ยาย แต่ยายบอกว่าไว้กินพร้อมกัน ...ระยะเริ่มหน้าเก็บข้าวมีชาวเชิงแสหลายคนนำข้าวเม่ามาให้ยาย เป็นประเพณีและขนบบ้านนาของชาวบ้านเชิงแส ที่จะนำข้าวเม่าและข้าวสารใหม่ๆมามอบให้แก่ผู้ใหญ่ที่เคารพ มีญาติของแม่ครอบครัวหนึ่งอยู่ที่บ้านเขาใน ชื่อ "ลุงชุม" และ"ป้าอบ" นำทั้งข้าวสารใหม่และกล้วยมามอบให้ยายทุกปี นัยว่าเป็นญาติฝ่ายยาย น่าเสียดายที่เรื่องนี้ผมไม่ได้ถามแม่ให้ละเอียด เสียดายจริงๆ

(จดหมายของแม่ที่เขียนมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำนาและสภาพของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เมื่อประมาณเกือบ ๓๐ ปี ที่แล้ว...ผมยังคงเก็บจดหมายแม่ไว้หลายฉบับ)

     ช่วงเวลาก่อนเริ่มเก็บข้าวเช่นนี้ พ่อและแม่ต้องเตรียมเครื่องมือหลายอย่าง ทั้ง "แกะ", "แสรก" หรือ สาแหรก , "เปี้ยว" และหมวก นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังได้จัดเตรียม "ลอมข้าว" ไว้เป็นที่เก็บเรียงข้าว วิถีชาวนาภาคใต้นั้น ไม่มียุ้งข้าว แต่มีลอมข้าวที่บนบ้าน เรียกว่า "จากรวง เป็นเรียง แล้วจึงดับขึ้นเป็นลอม" นี้คือขั้นตอนการเก็บเกี่ยวข้าวของชาวเชิงแสและชาวนาภาคใต้ลุ่มทะเลสาบสงขลา พ่อใช้เวลาประมาณหนึ่งวันรื้อข้าวเก่าไปตั้งเป็นลอมใหม่ที่ระเบียงด้านทิศตะวันตกของบ้าน ใกล้ๆกับลอมข้าวเหนียว เสร็จแล้วปูสาดใหม่คือปูเสื่อใหม่ (คำว่า "สาด" ที่ในภาษากลางว่าเสื่อนี้ นัยว่าเป็นภาษาเหนือที่ชาวพัทลุงนำมาใช้ แท้จริงเป็นอย่างไรคงต้องสืบค้นทางภาษากันต่อ) ส่วนผ้ายันต์มงคลและคำบูชาพระคุณของแม่โพสพที่ใส่ขวดสีดำ ซึ่งอยู่ที่บริเวณใจกลางลอมข้าวชั้นล่างสุดนั้น พ่อเก็บไว้อย่างดี เมื่อได้ข้าวใหม่หาบแรกมาจัดเป็นลอมข้าวในปีนี้แล้ว พ่อจะทำพิธี "ว่าคำพระ" ตั้งขวดดำใบนี้ที่กลางลอมข้าวใหม่ ทำนองเชิญขวัญข้าวสู่เรือนประมาณนั้น....ก็เหลือเชื่อเหมือนกันนะครับ ภาพเหล่านี้ผมไม่ได้เห็นเสียนานเพราะจากบ้านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ยังคงจำได้เหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นาน ไม่ใช่ความจงความจำดีหรอก แต่เพราะเร่ิมแก่แล้วนั่นเอง...พี่สาวของผมเล่าให้ฟังว่า ก่อนผมเกิดประมาณ ๑๕ วัน ครั้งที่เกิดเหตุฆ่ากันตายที่หมู่บ้านอื่น ตำรวจใช้อำนาจกฏหมายสมัยเผด็จการ ตั้งข้อสงสัยและมารุมล้อมจับพ่อ เมื่อพ่อถูกจับแล้ว มีตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งมาที่บ้าน ต่างใช้เสียมและไม้แทงเข้าไปในลอมข้าว เพื่อจะหาปืน ปรากฏว่าไม่พบปืน พบแต่ขวดผ้ายันต์ขวัญแม่โพสพใบนี้...เหลือเชื่ออีกเช่นกัน ที่ต่อมาเมื่อผมเป็นผู้พิพากษาแล้ว ผมได้พบกับตำรวจคนดังกล่าว ดูหมดสภาพเต็มที แม้จะเป็นพลตำรวจตรีก็ตาม ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพราะเขามาหาผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ศาล ผู้พิพากษาคนดังกล่าวนั้นตอนนี้รักษาความเป็นผู้พิพากษาเอาไว้ไม่ได้ เนื่องจากมีเหตุให้ต้องออกจากราชการไปหลายปีแล้ว
     พ่อและแม่นำผมไปเก็บข้าววันแรกที่ "นาขวางหวัน" วันนี้ชาวเชิงแสแทบทั้งหมู่บ้านต่างเริ่มเก็บข้าวกันแล้ว ดูไปก็เห็นใส่หมวกใส่เปี้ยวถือแกะเก็บข้าวทั่วทุ่ง ครอบครัวของเราพ่อเดินแบก "ไม้ข่มข้าว" ไปด้วยเพราะข้าวพันธุ์พื้นเมืองทุกสายพันธ์ุเป็นข้าวต้นสูง ถึงที่นาแล้วแม่แขวนข้าวห่อและปิ่นโตไว้ที่กาบตาลของต้นตาลต้นเล็ก แล้วเริ่มจับกลางลำไม้ไผ่ทั้งลำที่เป็นไม้ข่มข้าว เดินบุกฝ่าต้นข้าวให้ไม้ข่มต้นข้าวราบในระดับเอว จากคันนาด้านทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก ที่ต้องข่มต้นข้าวก็เพราะให้ต้นข้าวโน้มลงทอดคอรวงข้าวจนพอเหมาะและพอดีกับการใช้ "แกะ" เดินเก็บที่ละรวง แม่เก็บข้าวเร็วมากเก็บได้เต็มกำมือแล้วก็ใช้ต้นข้าวสามต้นตัดให้ยาวประมาณ ๒ คืบ แล้วมัดเป็น "เรียง" แม่วางเรียงข้าวหงายไว้ เรียกว่า "หงายบัว" เป็นการตากข้าวไล่ความชื้นของน้ำค้างที่เกาะเมล็ดและระแง้ข้าว.....ใกล้เที่ยงพ่อก็มาตั้งเรียงข้าวให้หัวเรียงยกขึ้นตามเดิมเรียกว่า "บัวคว่ำ"...แม่และชาวบ้านเชิงแสทุกครอบครัวต้องยืน "เก็บข้าว" กันอย่างนี้เป็นเวลาถึงสามเดือนสี่เดือนจึงจะหมดข้าวในนา เหนื่อยยากลำบากมาก เที่ยงแล้วนั่งล้อมวงกินข้าวห่อกันบนคันนาใต้ต้นตาล กับครอบครัวของพี่ละอองลูกสาวคนโตของป้าเชย พวกเราเด็กๆมักจะหาที่นอนหลังมื้อเที่ยง แม่ก็นอนเหมือนกัน แต่นอนครู่เดียวแม่ว่า "ยืดหลัง" แล้วลงนาเก็บข้าวต่อไป ปล่อยให้เด็กๆ นอนหลับกันต่อ สักพักหนึ่งแม่ก็เรียกให้ลงนาช่วยเก็บข้าวกันต่อ...หน้านาช่วงเวลาเก็บข้าวอย่างนี้ มองทุ่งนาบ้านเชิงแสแล้ว ท้องทุ่งสีทองเหลืองงามอร่ามไปทั่วทุกแถวแนวต้นตาล ถึงแดดยามเดือนมีนาคม เมษายน จะร้อนเพียงใด แต่แม่และชาวบ้านทุกคนมีความสุขมาก ด้วยรวงข้าวในนาที่สมบูรณ์ เป็นทรัพย์ในดินที่ช่วยให้ชีวิตชาวนาได้ยืนหยัดอยู่อย่างยั่งยืน มองไปในทุ่งนาหน้าเก็บข้าว ทุกหนแห่งเห็นยืนเก็บข้าวกันทั่วทั้งทุ่ง ครั้นใกล้เที่ยงก็ตะโกนเรียกกันว่า "ขึ้นเที่ยงได้แล้ว กินเที่ยงได้แล้ว"...ข้าวทำให้ชีวิตเราอยู่ได้ ข้าวเปลี่ยนเป็นเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ หาความรู้ใส่ตัว สร้างตัวสร้างอนาคต เหมือนที่พ่อบอกกับผมเสมอว่า "พ่อไม่อยากให้ลูกๆ เป็นชาวนาเหมือนพ่อ ชีวิตชาวนานั้นเหนื่อยยากลำบากมาก" ผมและเด็กๆ บ้านเชิงแสรู้แต่ว่าเหนื่อยและร้อน แต่เรื่องยากลำบากนั้นไม่ค่อยรับรู้มากนัก เพราะยังเด็กเกินไป เราพวกเด็กๆ รอแต่ว่า อีกไม่นานแม่จะ... "ออกปาก นาวาน"
     ครอบครัวของผม นับว่าเป็นครอบครัวที่มีลูกน้อย พี่ๆที่โตพ่อแม่ส่งเรียนหนังสือในเมืองทุกคน พี่เศียรพี่ชายคนโตเรียนหนังสือชั้นประถมที่ "โรงเรียนสงเคราะห์ประชา" ร่วมห้องเดียวกับท่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง พี่ปรีชาหรือพระปลัดปรีชาเรียนหนังสือที่ "โรงเรียนวิเชียรชม" พี่ดวงพรและพี่สาครเรียนหนังสือกันที่โรงเรียนสงเคราะห์ประชาโรงเรียนเดียวกับพี่ชายคนโต แม่จึงมีเพียงผมและน้องสาวช่วยเก็บข้าวในนา รอพี่ๆปิดภาคเรียนจึงได้มาช่วยงาน การที่มีลูกช่วยงานได้น้อยอย่างนี้ ทำให้เก็บข้าวไม่ทัน จึงต้อง "ออกปาก นาวาน" ให้ชาวบ้านช่วยเก็บข้าวให้ "ออกปาก" หรือ "นาวาน" เป็นวัฒนธรรมของชาวนาเชิงแสที่ช่วยเหลือกันตามประสาชาวนา การออกปากนั้นจะเริ่มทำเมื่อ เพื่อนบ้านคนอื่นๆ เริ่มจะเก็บข้าวของตัวเองใกล้จะเสร็จแล้ว คือเริ่มจะว่างงานแล้ว แต่ข้าวของเรายังเหลืออีกหลายบิ้งนา ข้าวก็เริ่ม "หักแง้" เริ่มเก็บไม่ทันก็ต้องออกปากให้มาช่วยเก็บข้าวกัน การออกปากเก็บข้าวทำกันหลายเจ้า เป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติสำหรับเด็กๆ ก็คือ มันเหมือนกับว่าในวันนั้นที่บ้านมีการจัดงาน และในนามีเพื่อนบ้านจำนวนมาก ๒๐ คนเศษมาช่วยกันเก็บข้าว ดูเต็มบิ้งนาไปหมด สนุกมาก ...เช้าวันเก็บข้าวนาวาน แม่และญาติพี่น้องสามคนที่ฝีมือสุดยอดในการทำแกงหม้อใหญ่ๆ คือ พี่ละออง พี่โสภา และพี่สาวสุชาติ มาช่วยแม่ทำกับข้าว นาวานที่นาเราวันนี้ แม่ทำแกงคั่วนกกับหัวตาลเป็นอาหารหลัก แกงคั่วอย่างนี้ชาวเชิงแสเรียกว่า "แกงคั่วหัวโหนด" แม่บอกซื้อ "นกชันไขเป็ด" ไว้หลายตัวมาก เพราะขณะนี้ชาวเชิงแสส่วนมากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ในทุ่งนาหลังหน้าเก็บเกี่ยวมีนกมาก เมื่อบ่าวหวิดและน้าหลวงชิ้นช่วยซื้อนก "ที่ทำเสร็จ" คือถอนขนลนไฟมาให้แล้ว แม่ก็นำนกมาสับมาผ่าอกและหั่นเป็นชิ้นเล็กสดๆ พี่ๆเหล่านั้นทำเครื่องแกงและขูดมะพร้าว พร้อมกับหุงข้าวขึ้นสามหม้อใหญ่ ส่วนขนมหวานเป็นขนมกะทิสุก ซึ่งเรียกว่า "หนมเท่สุก" นั้นพี่ลั่นทมกับพีนีช่วยทำให้ สักครู่หนึ่งพี่ลั่นทมก็นำขนมมาที่บ้าน กับข้าวนาวานมีเพียงเท่านี้และสำหรับมื้อเที่ยง ส่วนมื้อเช้าพวกช่วยนาวานทานข้าวที่บ้านของตัวเอง แต่แม่สั่งซื้อ "ขนมปำ" ฝากพี่เขียวนำไปเลี้ยงพวกที่นาด้วย....ที่นาของเราวันนี้มีเพื่อนบ้านมาช่วยเก็บข้าวถึงยี่สิบคน ดูเต็มนา และสนุกมาก เสียง "แกะ" ตัดรวงข้าวและเสียงพูดคุยขณะ "เก็บข้าว" เป็นไปอย่างสนุกสนาน พ่อ น้าหลวงชิ้น พี่ช่วง บ่าวไชย และญาติๆบ้านโคกพระต่างช่วยกันขนเรียงข้าวมารวมไว้เตรียมทยอยหาบกลับบ้าน.....++++....และก่อนเที่ยงแม่ พี่ละออง พี่โสภา พี่สาวสุชาติ พี่ลั่นทม พี่นี ก็หาบสำรับกับข้าวและขนมมาถึงที่ "นาขวางหวัน" เสียงพี่ลูกแมวตะโกนแซวล้อเสียงดังไปทั่วท้องนาว่า "อี้สาวเหอ หมึงหาบหม้อแกงให้ดีๆ อย่าให้พลัดหัวนา แกงหกหมด ไม่พักได้กินกันแหละ" เสียงคนในขบวนหาบตอบมาว่า "แรกเดียวพลัดหัวนา ที่หนองใหญ่ หม้อแกงคั่วนกคว่ำ นกหกหมด เหลือแต่น้ำแกงในหม้อ นกหกเหม็ดแล้ว อี้ลูกแมวเหอ"...ก็คิดดูเถอะครับ หม้อแกงคว่ำอย่างไร แกงหกเหลือน้ำแกงไว้ในหม้อ...+++ประเพณีนาวาน นาออกปาก เหนื่อยไปสนุกสนานกันไปชีวิตชาวนาแต่ก่อนเป็นอย่างนี้...ช่วงเวลาใกล้เคียงกันญาติของพ่อจากบ้านโคกพระนำโดยพี่อารมย์ลูกของป้ากุ้งอีกคณะหนึ่งก็พากันมาสมทบ คณะนี้เตรียมมาหาบข้าวด้วย คืนนี้คงจะนอนกันที่บ้านของผม ไม่ได้มาช่วยอย่างเดียวยังได้นำกับข้าวถาดใหญ่และอวยใหญ่ของโปรดสำหรับผมมาช่วยงานนาวานด้วย นั่นคือ "ปลาดุกร้าเจี้ยน"..และ "ไก่บ้านต้มขมิ้น" ......๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐..............................................................................................................................................++++++++++++............ ข้าวเที่ยงนาวานวันนี้อร่อยเสียเหลือเกิน ทุกคนทานกันใต้ต้นตาล หอมกลิ่นแกงพื้นบ้านเคล้ากลิ่นซังข้าวฟางข้าวหน้าร้อน สนุกสนานครึกครื้นด้วยเสียงพูดคุยกันหลายเรื่องราว เช่น เรื่องการเตรียม "ตัดซัง" และการเตรียมปลูกแตงโม และถั่วเขียว ที่ทุ่งสวนตีน แต่ที่สาวๆ และพวกผู้หญิงกล่าวถึงกันมากในวันนี้ ก็คือ งานคณะผ้าป่าสามัคคีจากกรุงเทพฯที่จะมาทอดทำบุญที่วัดเชิงแส งานนี้จะเป็นงานใหญ่มากที่เดียว เริ่มมีการประชุมกันแล้วว่าจะมีคณะกรรมการจัดงานเดินทางไป "รับ" ลิเกชื่อดังจากกรุงเทพฯ มาแสดงที่หน้าโรงเรียนวัดเชิงแส ลิเกคณะนั้นคือ "ลิเกคณะบุษบา" ที่มีดารานำ คือ "บุษบา" "สายบัว" และพระเอกขวัญใจมวลมหาประชาชน "ประเทือง เสียงกาหลง" เจ้าของเสียงเพลง "ทหารผลัดสอง"...ลิเกคณะนี้ออกอากาศเป็นลิเกวิทยุทางสถานีวิทยุ ว.ป.ถ.๕ หาดใหญ่...ซึ่งพวกผู้หญิงติดกันงอมแงม ที่กรุงเทพฯนั้นวันที่ผมมีธุระต้องขับรถผ่านถนนงามวงศ์วานก็ให้คิดถึงลิเกคณะบุษบาแทบทุกครั้ง คิดถึงคำโฆษณาที่ว่า "ติดต่อลิเกคณะบุษบา ยาหอมตราห้ากระติกน้ำ ได้ที่ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ นะคะ"++++...ตกบ่ายใกล้เย็นพ่อและญาติๆผู้ชายต่างช่วยกัน "ดับข้าว" ใส่สาแหรก หาบข้าวกลับบ้าน เดินตามกันเป็นแถวไปตามคันนา ครั้นยามเย็นคณะนาวานออกปากก็ได้เวลากลับบ้านกันแล้ว แม่ขอบใจทุกๆคนที่มาช่วยกันเก็บข้าวให้ ที่เหลืออีกไม่มากนักแม่ก็จะเก็บคนเดียว อีกสักสัปดาห์คงจะเสร็จ "หยามนา" ในปีนี้หยามนี้ .....ได้เห็นภาพสาวชาวนาพากันเดินกลับบ้านในยามเย็นๆเช่นนี้แล้ว ก็ให้คิดถึงเพลง "ไอดินกลิ่นสาว" เสียจริงๆ ..."กลิ่นฟางสาบสาวมันติดผิวกายเรียกร้อง คิดถึงใบหน้านวลน้อง ใส่งอบเดินท่องท้องนายามบ่าย ผิวน้องหม่นแมม สองแก้มเปื้อนดินและทราย ไม่อาจลบความงามลงง่าย ไม่วายแอบมองต้องตา ".....และท่อนเพลงท้ายๆที่ว่า...."กลิ่นโคลนสาบควายมันติดผิวกายพี่นัก ทั้งกลิ่นฟางข้าวสาวรัก เมื่อคิดแล้วอยากหวนคืนยังถิ่น อยากพบแก้วตา แม่เทพธิดาชาวดิน น้องบ้านนาขวัญตาของถิ่น ดินแดนกันดารบ้านนา" เพลงนี้ครูไพบูลย์ บุตรขัน เป็นผู้แต่ง โดยมี รุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นผู้ร้องครับ...........๐๐๐๐๐๐๐๐๐........................................................................................................................................................++++++++++...... ค่ำแล้ว...แม่และญาติๆจากบ้านโคกพระช่วยกันอุ่นกับข้าวที่เหลือมาจากที่นา โดยญาติบางคนก็ช่วยกันล้างจานชามสำรับจากนาวาน,. ที่บนลอมข้าวพ่อ พี่รมย์ น้าหลวงชิ้น ต่างช่วยกัน "ดับลอมข้าว" ซึ่งสูงขึ้นจนใกล้ถึงแปทูแล้ว แสงตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่ใกล้กับหัววัวของแม่ที่แขวนขาวอยู่ วัวตัวนี้ตัวที่ชื่อว่า "ไอ้จำปา" ส่องแสงเหลืองนิ่งให้เห็นเงาของพ่อและญาติทั้งสองไหวอยู่ที่ราวลูกกลอนบนหลังคาบ้าน ปีนี้ชาวเชิงแสทุกครัวเรือนได้ข้าวมากเพราะข้าวได้น้ำดีแดดงาม บางรายที่เก็บข้าวเสร็จแล้วก็เริ่ม "ตัดซัง" มารวมไว้ในโรงซังเตรียมไว้ให้วััวกินช่วงหน้าฝนยามปลายปี อีกสองสามคืนคราวเดือนแจ้งเดือนหงายก็จะมีการออกปากตัดซังกันแล้ว ออกปากตัดซังตอนหัวค่ำนั้น ผู้ออกปากมักจะเลี้ยงข้าวต้มไก่ หรือไม่ก็ข้าวต้มกุ้ง เรียกตามภาษาของชาวเชิงแสว่า "ข้าวเปียกไก่" หรือ "ข้าวเปียกกุ้ง"...เสร็จจาก "ดับข้าว" แล้วพ่อ น้าหลวงชิ้น และพี่รมย์ มานั่งมวนใบจากสูบบุหรี่กันที่นอกชาน รอให้เหงื่อแห้งแล้วจะได้อาบน้ำที่ตุ่มข้างบ้าน แล้วตั้งวงกินข้าวค่ำ...ระหว่างที่สูบบุหรี่กันอยู่นั้น พ่อเปรยขึ้นว่าเสร็จหน้านาแล้ว ชาวเชิงแสโคกพระก็ยังต้องระวังโจรมาปล้นวัว เพราะช่วงนี้ไม่มีข้าวแล้ว ฝูงวัวจะถูกปล่อยและพากันไปกินหญ้าและแขนงข้าวในทุ่งไกลบ้านมากขึ้น พวกโจรแถวบ้านเนินมักจะมาปล้นวัวอยู่บ่อยๆ...../(บทที่ ๗ ผมจึงเล่าเรื่องราวของโจรปล้นวัว...แต่ยังเขียนไม่จบ เล่าไม่เสร็จเสียที)..............................๐๐๐๐๐๐๐๐..........................................................................................................................................................+++++++++....... คืนนี้...เมื่อเอนหลังนอนบนเสื่อที่ระเบียงบ้าน ลมทุ่งไล่ลมร้อน กลิ่นท้องนาหลังหน้าเกี่ยวหอมชื่น อวลกรุ่นทั่วบ้านเชิงแส ลำไผ่สีสุกต้องลมเบียดเสียดสีเหมือนซอกล่อมบ้านนา แกะที่เก็บข้าวเสียบอยู่ที่เปี้ยววางนิ่งที่หัวผลา พอให้ได้เห็นเป็นเงารางๆ...กลิ่นโคลนสาบวัวเคล้าโชยอ่อน ยามนอนหลับแล้วใฝ่ฝัน....///